CRC ห่วงค้าปลีกไทยโตต่ำกว่า GDP หลังสินค้าจีนบุกหนัก เตรียมอัดฉีด 2 หมื่นล้านขยายธุรกิจในไทย - Forbes Thailand

CRC ห่วงค้าปลีกไทยโตต่ำกว่า GDP หลังสินค้าจีนบุกหนัก เตรียมอัดฉีด 2 หมื่นล้านขยายธุรกิจในไทย

“เซ็นทรัล รีเทล” ห่วงค้าปลีกไทยโตต่ำกว่าจีดีพี หากรัฐไม่เร่งแก้เกมสินค้าจีน-เพิ่มลูกเล่นกระตุ้นคนมีตังค์-นักท่องเที่ยว เตรียมอัดฉีดกว่า 2 หมื่นล้านสยายปีกไทย-เวียดนามปีนี้ ดันรายได้โต 11%


    ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า ธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทยมีการเติบโตมากว่า 1-2 เท่าของจีดีพีของประเทศในทศวรรษที่ผ่านมา และหลังจากนั้นการเติบโตของค้าปลีกจะต่ำกว่าจีดีพี โดยปี 2566 ค้าปลีกไทยเติบโตเพียง 1.6-1.7% โดยมีมูลค่าอยู่ที่ 4.4 ล้านล้านบาท

    สำหรับปีนี้ บริษัทคาดว่าธุรกิจค้าปลีกไทยจะเติบโตในอัตราที่ใกล้เคียงกับจีดีพีของประเทศ แต่ด้วยอุปสรรคหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะปัญหาสินค้าจีน และสินค้าจีนที่ขายอยู่ในแพลตฟอร์มออนไลน์มีมูลค่า 2 ใน 3 ของมูลค่ารวมในแพลตฟอร์มดังกล่าว ประกอบกับความเหลื่อมล้ำของระบบภาษีของสินค้าจีนกับสินค้าไทย ทำให้สินค้าไทยขาดความสามารถในการแข่งขันกับสินค้าจีน ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจค้าปลีกของไทยกลับมาโตต่ำกว่าจีดีพีในปีนี้

    เพื่อให้ค้าปลีกเติบโตในอัตราเคียงกับจีดีพีของประเทศที่ระดับประมาณ 2-3% รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ปัญหาทำให้เกิดความทัดเทียมกันในเรื่องระบบภาษีระหว่างสินค้าจีนและไทย และเร่งออกมาตรการที่มีลูกเล่นใหม่ๆ เพื่อช่วยกระตุ้นกำลังซื้อคนมีเงิน และเพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวโดยการลดภาษีเป็นการจูงใจให้ซื้อสินค้าลักชูรีในประเทศมากขึ้น จากที่ปัจจุบันจะใช้จ่ายเงินกับการเข้าพักโรงแรมและอาหารเท่านั้น

    “แม้เราจะทำธุรกิจอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถคาดเดาสถานการณ์อะไรได้ และต้องเผชิญกับกระแสดิสรัปชัน ทั้งจากเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค การเข้ามาของ Generative AI และ Climate Crisis เซ็นทรัล รีเทล จะเดินหน้าลงทุน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง เพราะเรามีอีโคซิสเต็มที่สมบูรณ์แบบ และมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วในทุกสถานการณ์” ณนน์กล่าว

    สำหรับแผนในปี 2567 บริษัทมีเป้าหมายจะผลักดันรายได้เติบโต 9-11% EBITDA เติบโต 15-17% และใช้งบลงทุน 22,000-24,000 ล้านบาทในการขยายธุรกิจในประเทศไทยประมาณ 75-80% เพื่อขยายธุรกิจฟู้ดส์ ฮาร์ดไลน์ แฟชั่น และพร็อพเพอร์ตี้ ส่วนที่เหลืออีก 20-25% จะเป็นการลงทุนในเวียดนามและอิตาลี


    สำหรับในประเทศไทย บริษัทมีแผนจะเปิดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลใหม่อีก 2 แห่งในปีนี้ โดยแห่งแรกได้เปิดดำเนินการแล้วที่เซ็นทรัลนครสวรรค์ และอีกแห่งจะเปิดในเดือนมีนาคมที่เซ็นทรัลนครปฐม ทำให้เซ็นทรัลรีเทลจะมีห้างทั้งหมด 88 แห่งในสิ้นปีนี้ นอกจากสาขาใหม่แล้ว ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างปรับปรุงและปรับโฉมสาขาเก่าอีก 4 แห่ง รวมสาขาชิดลม ที่กำลังปรับไปสู่การเป็น World Class Luxury Destination นอกจากนี้ยังมีแผนเพิ่มแบรนด์ชั้นนำระดับโลกเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย และนำแบรนด์ในไทยขยายไปยังเวียดนาม

    ทางด้านธุรกิจในกลุ่มฟู้ด บริษัทจะเดินหน้าขยาย GO Wholesale อีก 7 สาขา รวมเป็น 11 สาขา เพื่อให้เป็นจุดหมายใหม่ The New Choice For All

    นอกจากนี้บริษัทยังจะเปิดไทวัสดุอีก 9 สาขา พร้อมปรับโฉมเก่า 4 สาขา ส่วนท็อปส์จะอีก 10 สาขาในปีนี้ ทำให้สาขาทั้งหมดของไทวัสดุจะเพิ่มเป็น 90 สาขา และท็อปส์ 178 สาขาตามลำดับ

    ส่วนโรบินสันไลฟ์สไตล์จะมีการปรับปรุงสาขาเก่า 1 แห่งเท่านั้น ยังไม่มีแผนเปิดสาขาใหม่ในปีนี้ ทำให้สาขาทั้งหมดของโรบินสันไลฟ์สไตล์ยังคงอยู่ที่ 28 สาขาเท่ากับปีที่ผ่านมา


    ในต่างประเทศเวียดนาม บริษัทมีแผนเปิด ไฮเปอร์มาร์เก็ต GO! จำนวน 3 สาขา และ go! (มินิ โก!) อีก 9 สาขาในเวียดนามสิ้นปีนี้ ทำให้มีสาขาไฮเปอร์มาร์เก็ตและมินิโก! เพิ่มเป็น 42 สาขา และ 18 สาขาตามลำดับ ครอบคลุมใน 42 จังหวัดจาก 63 จังหวัดทั่วประเทศ ส่วนอิตาลียังไม่มีการเปิดสาขาใหม่ เพราะมีสาขาครอบคลุมพื้นที่สำคัญๆ ในแต่ละเมืองแล้ว

    ปัจจุบันนี้เซ็นทรัลรีเทลดำเนินธุรกิจค้าปลีกใน 60 จังหวัด มีจำนวนสาขาทั้งหมด 1,633 สาขา และมีศูนย์การค้า 33 แห่ง มีพื้นที่ขายทั้งหมด 3,139, 533 ตารางเมตร และพื้นที่เช่า 531,162 ตารางเมตร

    ส่วนในประเทศเวียดนาม บริษัทมีสาขาทั้งหมด 133 แห่ง ครอบคลุม 42 จังหวัด มีพื้นที่ขายรวม 354,913 ตารางเมตร และมีพื้นที่เช่า 212,324 ตารางเมตร ส่วนในอิตาลีมีการขยายธุรกิจใน 8 เมืองมีสาขาทั้งหมด 9 แห่ง และพื้นที่ขาย 59,871 ตารางเมตร

    สำหรับรายได้ของเซ็นทรัล รีเทล 71-72% มาจากประเทศไทย 20% มาจากเวียดนาม และที่เหลือมาจากอิตาลี โดยรายได้ถึง 38% มาจากธุรกิจฟู้ดส์ แฟชั่น 28-30% และที่เหลือเป็นฮาร์ดไลน์และพร็อพเพอร์ตี้

    นอกจากแผนการขยายสาขาแล้ว ในปี 2567 นี้ เซ็นทรัล รีเทล ยังได้วางกลยุทธ์การบริหารธุรกิจทุกกลุ่มของบริษัท ภายใต้คอนเซ็ปต์ของ Leading Excellence and Advancing Sustainability ตอกย้ำการเป็นเบอร์ 1 ด้วยผลประกอบการและผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในทุกมิติ รวมทั้งมีการวางกลยุทธ์เรื่องการสร้างความยั่งยืน ให้เข้มข้นไปอีกขั้น

    ญนน์กล่าวอีกว่า เซ็นทรัล รีเทล เตรียมเดินหน้าสู่ The Next Era ด้วยวิสัยทัศน์ CRC OMNI-Intelligence โดยการนำ AI เข้าไปในทุกกระบวนการของการทำธุรกิจ อาทิ การสร้าง Next-Gen Omnichannel ที่ผนวกแพลตฟอร์ม Offline และ Online เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค อีกทั้งยังขยายอีโคซิสเต็มจาก B2C สู่ B2B อย่างเต็มรูปแบบ และมีการ Integrate AI ให้เข้ากับ HI (Human Intelligence) เพื่อให้พนักงานทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงการสร้างผล profit และ Planet ให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน


    โดย CRC OMNI-Intelligence ประกอบไปด้วย 5 กลยุทธ์สำคัญ (5R) ได้แก่

    1.Revolutionise Core Strength คือ การยกระดับความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักใน Multi-Format, Multi-Category และ Multi-Market โดยมุ่งเน้นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง รวมถึงการยกระดับเรื่อง Synergy และการทำ M&A เพื่อเพิ่ม Value ในระยะยาวให้กับธุรกิจ

    2.Reinforce Financial Resilience คือ การทำให้สถานภาพทางการเงินมีความแข็งแกร่ง และมีการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น และมีความยืดหยุ่นทางด้านการเงิน บนหลักการบริหาร 3C (Cash, Cost, Capex)

    3.Reinvent Beyond Retail คือ การต่อยอดธุรกิจนอกเหนือจากธุรกิจค้าปลีก เช่น การเข้าไปเป็นส่วนสำคัญใน Community ต่างๆ ในแต่ละ Category เพื่อสร้าง Network และ Value ในระยะยาวให้กับธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล รวมถึงการขยายอีโคซิสเต็มจาก B2C สู่ B2B อย่างเต็มรูปแบบ

    4.Reimagine Human Capital คือ การพัฒนาศักยภาพของพนักงาน ด้วยการรวมIntelligence ของ AI และ HI เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อขยายขีดความสามารถในการทำงาน การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า และการเพิ่มประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มออมนิแชแนลแบบทวีคูณ

    5.Rally Green Impact คือ การยกระดับการทำ Green Transition ด้วยการผนึกกำลังทั้งภาครัฐ เอกชน ลูกค้า และพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ มาร่วมมือกันแก้ปัญหา Climate Change เพื่อไม่ให้ไปสู่ Climate Crisis โดยการลดการใช้พลังงาน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโลกสีเขียว เพื่อส่งต่อให้กับคนรุ่นหลัง



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ค้าปลีกแข่งเดือด! จัดเต็มลงทุนไทย-เทศ ดึง ‘คนรุ่นใหม่-ทาสหมาแมว-สูงวัย’ เข้าห้าง

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine