ค้าปลีกแข่งเดือด! จัดเต็มลงทุนไทย-เทศ ดึง ‘คนรุ่นใหม่-ทาสหมาแมว-สูงวัย’ เข้าห้าง - Forbes Thailand

ค้าปลีกแข่งเดือด! จัดเต็มลงทุนไทย-เทศ ดึง ‘คนรุ่นใหม่-ทาสหมาแมว-สูงวัย’ เข้าห้าง

แม้ภาพค้าปลีกไทยในไตรมาสแรกอาจจะยังไม่ชัดเจน แต่ค่ายค้าปลีกต่างๆ ตั้งแต่ เซ็นทรัล-เดอะมอลล์-เทอร์มินอล 21 จนถึงเมกาบางนา ยังเดินหน้าลงทุนทั้งไทย-เทศปีนี้ เพราะเชื่อมั่นว่าค้าปลีกจะฟื้นตัวเต็มที่ในครึ่งปี หลังอานิสงส์ฟรีวีซ่าบูมท่องเที่ยว และกลยุทธ์ที่จะดึงคนรุ่นใหม่ ทาสหมาแมว และคนสูงวัย เข้าศูนย์การค้าเพิ่ม เพื่อสร้างการเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว


    ตลาดค้าปลีกไทยมีการฟื้นตัวที่ค่อนข้างต่อเนื่องจากเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคมปีนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวจากจีน และการเข้ามาของนักท่องเที่ยวหน้าใหม่จากตะวันออกกลาง รวมถึงนักช็อปจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียก็ยังมีความต่อเนื่อง นอกจากนี้ ส่วนหนึ่งยังได้อานิสงส์จากโครงการลดหย่อนภาษี “Easy e-Receipt" ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2567 ทำให้อารมณ์ในการจับจ่ายใช้สอยเกิดความต่อเนื่องในเดือนมกราคมปีนี้

    การมีแคมเปญกระตุ้นการใช้จ่ายจากรัฐบาลที่คล้ายๆ กันในปีที่ผ่านมา ทำให้อัตราการเติบโตของร้านค้าสาขาเดิมไม่ได้เป็นไปในทิศทางบวกมากนัก ส่วนเทศกาลตรุษจีนในปีนี้ก็เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ จากที่เคยเกิดขึ้นในเดือนมกราคมปีที่ผ่านมา ประกอบกับไม่มีการเบิกจ่ายใช้งบประมาณของรัฐ ทำให้ภาพรวมการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกมูลค่าราว 4.4 ล้านล้านบาทในช่วงต้นปีดูเหมือนจะฟื้นตัวแบบทรงๆ

    “อย่างไรก็ตาม บริษัทค้าปลีกที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ยังคงมีการลงทุนต่อเนื่องในปีนี้ทั้งในประเทศไทยและขยายตัวในประเทศที่เคยทำธุรกิจอยู่แล้วก่อนหน้านี้ ทั้งในกัมพูชา สปป.ลาว และเวียดนาม สำหรับเม็ดเงินลงทุนในปีนี้ ผู้ประกอบการค้าปลีกไทยยังคงใช้เงินอยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา แต่จำนวนสาขาที่เปิดใหม่ในปีนี้จะไม่เท่าปีที่แล้ว เพราะจะมุ่งกระจายเม็ดเงินลงทุนไปสนับสนุนและสร้างความแข็งแรงให้กับการช็อปปิ้งในระบบออนไลน์ หรือติดตั้งอุปกรณ์เพื่อประหยัดพลังงาน” ธรีทิพย์ วงษ์แสงไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บมจ.หลักทรัพย์กสิกรไทยกล่าว


ซีพีเอ็น-เซ็นทรัลรีเทล พร้อมปักหมุดเพิ่ม ตปท.

    วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ในประเทศเวียดนาม ภายใต้ชื่อ “บริษัท ซีพีเอ็น โกบอล จำกัด” (“ซีพีเอ็น โกบอล เวียดนาม”) มีทุนจดทะเบียนถึง 20,000 ล้านดองเวียดนาม วัตถุประสงค์ที่ตั้งบริษัทใหม่ดังกล่าว เพื่อบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศเวียดนาม และพัฒนาโครงการในอนาคตของบริษัท

    “เวียดนามเป็นประเทศที่ 2 ที่ซีพีเอ็นจะเข้าไปขยายธุรกิจในอนาคต หลังจากที่ได้ไปเปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัล ไอ-ซิตี้ ที่รัฐสลังงอร์ มาเลเซีย ในเดือนมิถุนายนปี 2562 ซึ่งเป็นโครงการลงทุนโครงการแรกในต่างประเทศ” แหล่งข่าวจากเซ็นทรัลกรุ๊ปกล่าว และว่า การปักหมุดครั้งใหม่ในเวียดนาม เพื่อบรรลุเป้าหมายในการเป็นผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ในระดับภูมิภาค

    สำหรับตลาดเมืองไทย ซีพีเอ็นได้เปิดศูนย์การค้าสาขาล่าสุดที่ปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ มูลค่าการลงทุน 5,800 ล้านบาทไปเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา และกำลังจะเปิดสาขาใหม่อีกแห่งหนึ่งที่นครปฐมในเดือนมีนาคมปีนี้



    นอกจากนี้ แหล่งข่าวคนเดิมยังบอกอีกว่า กลุ่มเซ็นทรัลรีเทล จะมีการขยายสาขาของ GO ในเวียดนามอีกประมาณ 4-5 สาขาในปีนี้ และเปิดไทวัสดุในไทยอีก 7-8 แห่ง และ GO Wholesale ซึ่งเป็นค้าส่งอีก 7-8 สาขาในปีนี้เช่นเดียวกัน

    ขณะที่คู่แข่งรายสำคัญคือกลุ่มซีพี ยังคงเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเปิดเซเว่นอีเลฟเว่นอีกประมาณ 100-200 สาขาใน สปป.ลาวและกัมพูชา และ 700 สาขาในไทยในปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเห็นการเปิดสาขาของเซเว่นอีเลฟเว่นบนถนนสายหลักมากขึ้น แต่รูปแบบอาจจะเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่มากขึ้น

    “เราจะเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีกไทยในครึ่งปีหลัง ส่วนหนึ่งมาจากการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ และนโยบายที่จะกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง กว่าที่รัฐจะเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาสที่ 2 การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจจะต้องพึ่งพาการบริโภคจากภาคเอกชน” ธรีทิพย์กล่าว


ศูนย์การค้าอัดฉีดงบ เร่งกระตุ้นการใช้จ่าย

    ฟากฝั่ง “กลุ่มเดอะมอลล์” เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งทุ่มงบ 1,650 ล้านบาท โดย “วรลักษณ์ ตุลาภรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารกลุ่มเดอะมอลล์ เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มงบการตลาด 1,650 ล้านบาท เพื่อจัดกิจกรรมการตลาดกระตุ้นการจับจ่ายตลอดปีนี้


“วรลักษณ์ ตุลาภรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์กรุ๊ป จำกัด


    “ในภาวะที่ค้าปลีกในต้นปียังดูนิ่งๆ เราจะให้ความสำคัญกับกลยุทธ์โปรโมชั่นในปีนี้ เพื่อเร่งให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น เราเชื่อว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาไทยปีนี้จะพุ่งแตะ 33-34 ล้านคน และธุรกิจของเราในไตรมาสแรกจะโตได้ถึง 15% จากปกติที่เคยโตประมาณ 10% เพราะการเปิดเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ที่เดอะมอลล์บางกะปิและบางแค” วรลักษณ์กล่าว และว่า นอกจากนี้ มหกรรมกีฬาที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ทั้งฟุตบอลยูโรและโอลิมปิค จะมีส่วนกระตุ้นการซื้อสินค้าที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับเดอะมอลล์ได้เตรียมแคมเปญให้ลูกค้าที่มาจับจ่ายในห้างได้มีโอกาสชิงตั๋วไปดูพิธีปิดโอลิมปิคที่ฝรั่งเศสซึ่งเป็นช็อปปิ้งเดสติเนชั่นที่สำคัญของคนไทยอีกด้วย

    นอกจากนี้ บริษัทจะเน้นทำโซเชียลมีเดียมากขึ้นเพื่อสร้างการรับรู้และดึงคนรุ่นใหม่ๆ มาเป็นลูกค้า พร้อมทั้งนำ indoor navigation ซึ่งเป็น AR และทดลองอยู่ที่เดอะมอลล์งามวงศ์วาน มาใช้ที่เดอะมอลล์บางกะปิและบางแคในไตรมาสสองปีนี้

    ขณะที่ “ประเสริฐ ศรีอุฬารพงศ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามรีเทล ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 และแฟชั่นไอส์แลนด์ กล่าวว่า ยังเห็นภาพเชิงบวกจากธุรกิจค้าปลีกเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนมาไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากโครงการฟรีวีซ่า

    “นอกจากนักท่องเที่ยวจีนแล้ว เรายังเห็นนักท่องเที่ยวจากตลาดใหม่เพิ่มขึ้นจากทั้งตะวันออกกลาง มาเลเซีย และนักท่องเที่ยวจากอินเดียที่ทันสมัยและมีกำลังซื้อมากขึ้นกว่าในอดีต หากเราได้แรงกระตุ้นจากมาตรการของรัฐอย่างต่อเนื่อง ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น” ประเสริฐ กล่าว

    เขาระบุอีกว่ากลุ่มสยามรีเทลได้ปรับตัวเองมาตลอดภายหลังเจอโรคระบาด โดยเฉพาะการสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งใหม่ๆ และการพัฒนารูปแบบกิจกรรมภายในศูนย์ พร้อมสินค้า บริการ และการตกแต่งศูนย์เพื่อเพิ่มบรรยากาศการจับจ่าย

    โดยในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ได้มีการเปิดร้านป๊อปมาร์ท อาร์ททอยแบรนด์ของเล่นชั้นนำระดับโลกจากประเทศจีนที่เทอร์มินอล 21 และจะมีการเปิดอีกสาขาหนึ่งอีกแห่งที่ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ในเร็วๆ นี้ พร้อมกับการลงทุนสร้างที่จอดรถเพิ่มอีก 2,000 คัน โดยเริ่มก่อสร้างในเดือนนี้และเสร็จพร้อมใช้งานต้นปีหน้า

    ด้านศูนย์การค้าเมกาบางนา โดย “วรรณวิมล อรดีดลเชษฐ์” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาและบริหารศูนย์การค้าเมกาบางนา เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทจะให้ความสำคัญกับการขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยเน้นไปที่การสร้างคอมมูนิตี้เฉพาะกลุ่มมากขึ้น อาทิ คนรักสัตว์เลี้ยงและผู้สูงอายุ


“วรรณวิมล อรดีดลเชษฐ์” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)


    เพราะนอกจากกลุ่มลูกค้าเหล่านี้จะมีกำลังซื้อสูงแล้ว จากฐานข้อมูลของบริษัทยังพบว่า ลูกค้าของเมกาบางนามากกว่า 40 % มีสัตว์เลี้ยง ดังนั้นบริษัทจึงจะสร้างคอมมูนิตี้ของคนรักสัตว์ให้มาพบปะเจอกัน ผ่านกิจกรรมใหญ่ที่จะจัดขึ้นในเดือนมีนาคมนี้ พร้อมกันนี้บริษัทยังเตรียมกิจกรรมการตลาดและโปรโมชั่นอีก 13 กิจกรรมที่แปลกใหม่สำหรับกลุ่มลูกค้าทุกกลุ่มตลอดปี

    “เมกาบางนายังมีโอกาสเติบโตอีกเยอะ จากการขยายโครงข่ายคมนาคม ปัจจุบันลูกค้าในย่านสมุทรปราการ บางนา มีกำลังซื้อสูงเทียบเท่าย่านในเมืองแล้ว โดยในปีที่ผ่านมา การใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิลที่เมกาบางนาอยู่ที่ 4,500 บาท เพิ่มจาก 3,700 บาทในปี 2565 ด้วยกิจกรรมการตลาด สินค้าและบริการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยอดการใช้จ่ายต่อบิลและจำนวนคนเข้าเมกาบางนาจะสูงขึ้นอีก 10% ในปีนี้” วรรณวิมลกล่าว

    ทั้งนี้ เมกาบางนามีจำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในปีที่ผ่านมา 53 ล้านคน เพิ่มจากปีก่อน 10% ซึ่ง 81% ของลูกค้ามาที่ศูนย์การค้าเมกาบางนาเพื่อรับประทานอาหาร และที่เหลือมาเพื่อซื้อสินค้าไลสไตล์ และของตกแต่งบ้าน

    ปัจจุบันเมกาบางนา มีแพลตฟอร์มออนไลน์ในหลากหลายรูปแบบ อาทิ ไลน์ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ยูทูบ และกำลังจะเริ่มเปิดโซเชียลมีเดียสุดฮอตอย่าง TikTok เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าและกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายใหม่ๆ ในระยะยาว และรองรับกลุ่มเริ่มทำงานที่จะขยายมากขึ้นในปีนี้



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : คาดปี 67 คนสั่งอาหารผ่านแอป Food Delivery ลดลง เพราะทานอาหารที่ร้าน-ราคาอาหารในแอปแพงขึ้น

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine