CPALL ไตรมาสแรกฟันรายได้ 145,856 ล้านบาท กำไรสุทธิร่วง 2.2% - Forbes Thailand

CPALL ไตรมาสแรกฟันรายได้ 145,856 ล้านบาท กำไรสุทธิร่วง 2.2%

บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) หรือ CPALL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2563 ทำรายได้กว่า 1.45 แสนล้านบาท แต่กำไรสุทธิลดลง 2.2%

บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) หรือ CPALL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 โดยระบุว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 145,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 5.2%

โดยปัจจัยหลักมาจากรายได้จากการขายและบริการของธุรกิจร้านสะดวกจากสาขาใหม่ที่เปิดในรอบปีที่ผ่านมา และรายได้จากการขายและบริการของธุรกิจศูนย์จําหน่ายสินค้าระบบสมาชิกแบบชําระเงินสดและบริการตนเองภายใต้ชื่อสยามแม็คโคร

อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบทางลบต่อบริษัทและบริษัทย่อยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันจากมาตรการควบคุมการระบาดของโรคจากรัฐบาล

ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 ปี 2563 บริษัทและบริษัทย่อยมีกําไรขั้นต้นจากการขายและบริการเท่ากับ 31,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้จากการขายและบริการที่เพิ่มสูงขึ้นจากธุรกิจร้านสะดวกซื้อและธุรกิจสยามแม็คโคร

อย่างไรก็ตามอัตราส่วนกําไรขั้นต้นในงบการเงินรวมเท่ากับ 22.1% ปรับลดลงจาก 22.3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสัดส่วนกําไรขั้นต้นที่มาจากธุรกิจร้านสะดวกซื้อลดลง

ในขณะที่กําไรสุทธิเท่ากับ 5,645 ล้านบาท ลดลง 2.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และกําไรต่อหุ้นตามงบการเงินรวมในไตรมาส 1 ปี 2563 มีจํานวน 0.60 บาท ทั้งนี้ กําไรสุทธิลดลงเนื่องจากรายได้จากธุรกิจร้านสะดวกซื้อเติบโตในระดับต่ำกว่าเป้าหมาย รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจาก TFRS 16 จํานวน 308 ล้านบาท

โดยในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ ธุรกิจร้านสะดวกซื้อเปิดร้านสาขาใหม่รวมทั้งสิ้น 271 สาขาในทุกประเภท ทั้งร้านสาขาบริษัท ร้าน store business partner (SBP) และร้านค้าที่ได้รับสิทธิช่วงอาณาเขต ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย ดังนั้น สิ้นไตรมาส 1 ปี 2563 บริษัทมีจํานวนร้านสาขาทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 11,983 สาขา

หากมองเฉพาะธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ไตรมาสนี้มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการรวม 82,885 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 2,112 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.6 อย่างไรก็ตาม ยอดขายเฉลี่ยของร้านเดิมลดลง 4.0% เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

โดยมียอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวันเท่ากับ 78,872 บาท ยอดซื้อต่อบิลโดยประมาณเท่ากับ 70 บาท ในขณะที่จํานวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ย 1,122 คน โดยจํานวนลูกค้าลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากมาตรการควบคุมการระบาดของโรคจากรัฐบาล อาทิ จํากัดการเดินทาง การขอความร่วมมือให้อยู่แต่ในที่พักอาศัย

สำหรับกําไรสุทธิของธุรกิจร้านสะดวกซื้อเท่ากับ 3,845 ล้านบาท ลดลง 4.5% จาก ไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้จากธุรกิจร้านสะดวกซื้อเติบโตในระดับต่ำกว่าเป้าหมาย รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจาก TFRS 16 จํานวน 214 ล้านบาท

บริษัทยังให้มุมมองถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคยังมีอยู่ และส่งผลกระทบในเชิงลบต่อรายได้และค่าใช้จ่าย รวมถึงมีความไม่แน่นอนอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นต่อการดําเนินธุรกิจของบริษัทในอนาคต

   
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine