‘เชสเตอร์’ ประกาศกลับมาลงทุนเชิงรุกอีกครั้งในรอบ 16 ปี เตรียมลุยเปิดใหม่ปีละ 25 สาขาต่อเนื่องยาว 5 ปี ปีนี้นำร่องเปิดตัวแฟล็กชิปสโตร์ครั้งแรกสาขาสยาม พร้อมคอนเซ็ปต์ธุรกิจ “หวังให้เป็นแลนด์มาร์กคนรุ่นใหม่”
ลลนา บุญงามศรี กรรมการผู้จัดการ เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดภายใต้แบรนด์เชสเตอร์ เปิดเผยว่า บริษัทได้กลับมาลงทุนเชิงรุกอีกครั้งในรอบ 16 ปี เริ่มจากปีนี้ที่จะเปิดสาขาใหม่ทั้งหมด 23 แห่ง และบริษัทได้ตั้งเป้าหมายที่จะเปิดสาขาใหม่ปีละ 25 สาขาต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปีนับตั้งแต่ปี 2568 จนถึงปี 2572
โดยคาดการณ์ว่าจะใช้เงินลงทุนราวปีละ 200 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นงบสำหรับสาขาใหม่ที่จะมีขนาดประมาณ 100-120 ตารางเมตร จากที่เคยมีขนาด 200-300 ตารางเมตร งบลงทุนที่เหลือจะใช้ปรับโฉมสาขาเดิมปีละ 10-15 สาขา และลงทุนด้านอื่นๆ
“ธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (Quick Service Restaurant : QSR) ในไทย มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 45,000 ล้านบาทต่อปี และกว่า 50% ของตลาดเป็นเซ็กเมนต์ไก่ ตลาด QSR ในไทยยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยสนับสนุนมาจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ชื่นชอบทานอาหารนอกบ้าน ประกอบกับการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ” ลลนากล่าว
นอกจากนี้จำนวนสาขาของเชสเตอร์ที่มีประมาณ 200 สาขาในปัจจุบัน มีเพียง 30% เท่านั้นที่อยู่ในต่างจังหวัด ดังนั้นจึงมีโอกาสขยายอีกมาก โดยการเปิดสาขาใหม่ปีหน้าจะเน้นพื้นที่หัวเมืองใหญ่ หรือจังหวัดท่องเที่ยวมากขึ้น อาทิ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลชลบุรีและนครสวรรค์ เป็นต้น
“ตลาดธุรกิจร้านอาหารบริการด่วนใน 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ มีการเติบโตระหว่าง 2.5-4% ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ จากที่ก่อนโควิดตลาดเคยเติบโตอยู่ที่ 5-6% ความท้าทายหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้น การขาดแคลนแรงงานต่อเนื่อง มีคู่แข่งรายใหม่เข้ามาสู่ตลาด และมีอาหารหลากหลายทางเลือกในตลาด
แต่เชสเตอร์เติบโตได้ถึง 15% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน และมั่นใจว่าจะโตต่อเนื่องในอัตรานี้ตลอดปี เพราะได้เปรียบที่อยู่มาในตลาดมานานถึง 36 ปี มีกลยุทธ์เชิงรุกที่รักษาผู้บริโภคทุกกลุ่ม ด้วยเมนูใหม่ ร้านโมเดลใหม่ สาขาใหม่ และบริการใหม่” ลลนาบอก
ลลนากล่าวว่า บริษัทได้กลับมาลงทุนเชิงรุกอีกครั้งในปีนี้ โดยได้เพิ่มการลงทุนจากปีที่แล้วอีกเท่าตัวจาก 100 ล้านบาท เป็น 200 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาใหม่ถึง 23 แห่ง ถือว่าเป็นจำนวนสูงสุดในรอบ 16 ปี ใน 9 เดือนแรกได้เปิดไปแล้ว 14 แห่ง และอีก 9 แห่งจะเปิดในอีก 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ ทำให้สาขาของเชสเตอร์จะมีทั้งหมด 210 แห่งภายในสิ้นปีนี้
ส่วนเงินลงทุนที่เหลืออีกส่วนหนึ่งจะใช้ปรับปรุงเชสเตอร์สาขาเดิม 10-15 แห่ง ซึ่งทำไปแล้วทั้งหมด 14 แห่ง รวมถึงการปรับโฉมร้าน Chester’s สาขาสยามสแควร์ให้เป็น Chester’s Flagship Store สาขาแรก ด้วยดีไซน์ภายใต้แนวคิดใหม่ Good Food Good Mood จากแนวคิดเดิมคือ “อร่อย หลากหลาย”
ร้าน Chester’s สาขาสยามสแควร์มีพื้นที่ 230 ตารางเมตร และ 158 ที่นั่ง ที่สาขานี้ลูกค้าจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่เพราะบรรยากาศภายในร้านได้ถูกปรับใหม่ เป็นโทนสว่าง สดใส เปลี่ยนจากสีน้ำตาลทึมๆ เป็นสีขาวแดง พร้อมดีไซน์โดดเด่นทั้งภายในและภายนอกร้าน และในช่วงเย็นถึงค่ำจะมีการเล่นไลท์ติ้งบริเวณด้านนอกร้านเพื่อสร้างสีสัน ทำให้ร้านดูสนุกมากขึ้น
ส่วนภายในร้าน บรรยากาศจะโมเดิร์น แฝงด้วยความอบอุ่น ตอบโจทย์ลูกค้าที่หลากหลาย โดยเฉพาะชั้น 2 ที่เพิ่มเคาน์เตอร์บาร์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถรับประทานอาหารและทำงานไปพร้อมๆ กันได้ นอกจากนี้ยังมีโซนบูธที่ให้ความเป็นส่วนตัว รวมถึงโซนโต๊ะขนาดใหญ่สามารถนั่งล้อมสังสรรค์กับเพื่อนๆ ได้อีกด้วย
และที่นี่ยังมีเมนูที่จำหน่ายเฉพาะเชสเตอร์สาขาสยามเท่านั้น ได้แก่ เมนู 'Chick N' Waffle' มีให้เลือก 3 รสชาติ คือ รสออเนียนชีสไข่กุ้ง รสวาซาบิมาโยกุ้ง และรสโคเรียนสไปซี่ชีส พร้อมเครื่องดื่มรีฟิลจากเครื่องโพสต์มิกซ์
ลลนากล่าวว่า บริษัทได้เพิ่มเมนูใหม่ที่เชสเตอร์ทุกสาขาอีก 50% ออกเมนูใหม่ทุกเดือนจากเดิมปีละ 2 ครั้ง ทำให้ตอนนี้เชสเตอร์มีเมนูให้เลือกถึง 70 รายการ นอกจากสินค้าหมวดเดิมๆ บริษัทได้เพิ่มสินค้าหมวดใหม่อีก 2 หมวด ได้แก่ สปาเก็ตตี้และไก่กรอบ และยังมีเมนูสำหรับเด็ก เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา
นอกจากนี้เชสเตอร์อยู่ระหว่างพัฒนา project service plus และต่อยอดโมเดลใหม่ เช่น Chester’s To Go ซึ่งทดลองเปิดสาขาแรกที่ศูนย์การแฟชั่นไอส์แลนด์ไปตั้งแต่ปีที่แล้ว และจะเปิดเพิ่มขึ้นในอนาคต ตามแผนการทั้งหมด บริษัทคาดว่ารายได้ของเชสเตอร์ฟูดส์จะเติบโตต่อเนื่องในอนาคต และจะเติบโตอยู่ที่ประมาณ 15% ในปีนี้
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : MAGURO เปิดตัว The Flavorhood ฟู้ดเดสติเนชั่นใจกลางประดิษฐ์มนูธรรม เปิดทางการ 1 พ.ย.นี้
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine
