BJC เตรียมทุ่ม 3,000 ล้านบาท สร้างโรงงานใหม่ที่อยุธยาปีหน้า - Forbes Thailand

BJC เตรียมทุ่ม 3,000 ล้านบาท สร้างโรงงานใหม่ที่อยุธยาปีหน้า

‘เบอร์ลี่ยุคเกอร์’ เตรียมทุ่ม 3,000 ล้านบาท สร้างโรงงานใหม่พื้นที่ 170 ไร่ที่อยุธยาปีหน้า เตรียมลุยแบรนด์ใหม่สกินแคร์-เพ็ทแคร์ เสริมแกร่งพอร์ตหวังโตระยะยาว


    นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ มันฝรั่งเทสโต และครีมอาบน้ำแพรอท เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาทในปีหน้า ผ่านโรงงานอาหารและโรงงานผลิตสินค้าของใช้ในครัวเรือน ซึ่งรวมถึงบริษัท รูเบีย อุตสาหกรรม จำกัด เพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่บนพื้นที่ 170 ไร่ ที่คลองจิก อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อผลิตสินค้าแบรนด์เดิม อาทิ แชมพูพรอมิส สบู่เหลวและสบู่ก้อนแพรอท และขนมขบเคี้ยวมันฝรั่งเทสโต ออกสู่ตลาด รวมทั้งสินค้าแบรนด์ใหม่ๆ ด้วย

    โดยโรงงานแห่งใหม่จะก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มเดินเครื่องผลิตขนมขบเคี้ยวและแชมพูได้ในปี 2569

    “เราจะขยายธุรกิจทั้งแนวตั้งและแนวนอน ขยายทั้งสินค้าแบรนด์เดิมและแนะนำแบรนด์ใหม่สู่ตลาด ซึ่งจะมีทั้งผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า หรือแม้กระทั่งสินค้าเพ็ทแคร์” ฐาปณีกล่าว

    แม้สถานการณ์เศรษฐกิจมีความท้าทายต่อเนื่องในครึ่งปีแรก และยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคของบริษัทโดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 อยู่ในภาวะที่ยากลำบากกว่าที่เคยเผชิญในรอบหลายปี โดยเฉพาะในช่องทางเทรดิชั่นนัลเทรด แต่บริษัทยังพร้อมขยายธุรกิจในระยะเวลาที่เหลืออีก 5 เดือน เพราะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของกำลังซื้อดีขึ้นในเดือนสิงหาคม

    ฐาปณีกล่าวว่า สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลที่จะส่งผลกระทบเชิงบวกกับบริษัทนั้น บริษัทยังได้เตรียมพร้อมสนับสนุนโครงการนี้ ด้วยการติดตั้งเครื่องโพสต์ที่เขียนโปรแกรมเองให้สามารถใช้งานและตอบโจทย์ Digital Wallet ได้เป็นอย่างดี ให้กับร้านโดนใจซึ่งเป็นร้านโชห่วยสมัยใหม่ที่มีอยู่เกือบ 8,000 แห่งทั่วประเทศ พร้อมทั้งฝึกอบรมให้พนักงานสามารถใช้งานได้ทันที

    นอกจากนี้ยังร่วมมือกับซัพพลายเออร์อีก 3,000-4,000 ราย จัดโปรโมชั่นพิเศษให้ลูกค้า เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายผ่าน Digital Wallet และมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ

    “Digital Wallet เป็นโอกาสทางธุรกิจ ส่งผลกระทบในเชิงบวกให้กับบิ๊กซี แต่ก็มีอุปสรรคด้วย อย่างไรก็ตาม Digital Wallet จะมีหรือไม่มี เราก็ยังทำธุรกิจด้วยความแฮปปี้” ฐาปณีกล่าว

    สำหรับในครึ่งปีแรก บริษัทได้นำแบรนด์ “พรอมิส” (Promise) ซึ่งเคยใช้ทำตลาดสินค้าประเภทอื่นกว่า 10 ปีแล้ว กลับมาทำตลาดอีกครั้งหนึ่งกับสินค้าเส้นผม แชมพู และครีมนวดผม ภายใต้แบรนด์ “พรอมิส” ขนาดบรรจุ 400 มิลลิลิตร ราคา 165 บาท วางจำหน่ายที่บิ๊กซีทุกสาขา และซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำใน 1-2 เดือนที่ผ่านมา


    พรอมิสแชมพูและครีมนวดผม ผลิตจากนวัตกรรมนาโนเคราติน พร้อมน้ำมันสกัดเข้มข้น 5 ชนิดได้แก่ น้ำมันอาร์แกน น้ำมันอัลมอนด์ น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพดและน้ำมันมะกอก พรอมิสแชมพูและครีมนวดผม มีให้เลือก 3 สูตร ได้แก่ สูตร Soft & Strong ช่วยให้ผมแข็งแรง สูตร Repair & Restore ป้องกันและฟื้นฟูผมเสีย และสูตร Scalp Care & Anti-Dandruff ดูแลหนังศีรษะ

    นอกจากเมืองไทย เบอร์ลี่ฯ จะขยายธุรกิจนี้ไปยังจีนตอนใต้และฮ่องกงในอนาคตด้วย การขยายธุรกิจทั้งในแนวนอนและแนวตั้งจะทำให้เบอร์ลี่ฯ สามารถเติบโตเป็นตัวเลข mid หรือ high single digit ต่อปีได้

    “หลังจากผลิตสินค้าเกี่ยวกับเส้นผมให้กับองค์กรระดับโลกมาแล้ว ถึงเวลาที่เราจะมาทำแบรนด์ของเราเองเป็นครั้งแรก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง ด้วยนวัตกรรมที่ยังไม่พบว่ามียี่ห้อไหนใช้ในตลาด เรามั่นใจในการเข้าสู่ตลาดนี้มาก ภายหลังจากทำ blind test นอกจากมีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด เรายังปรับขนาดสินค้าให้ใหญ่ขึ้นและขนาดเล็กลงเพื่อให้เหมาะกับกำลังซื้อในแต่ละพื้นที่” ฐาปณีบอก

    เนื่องจากต้นทุนการทำธุรกิจเพิ่มขึ้น บริษัทได้ติดตั้ง Solar Rooftop ที่บิ๊กซีสาขาใหญ่ทั่วประเทศมาก่อนหน้านี้ และในปีนี้จะเร่งสปีดเพื่อติดตั้งเพิ่มในสาขาอื่นๆ ให้เสร็จก่อนปลายปีหน้า เพื่อลดค่าไฟ

    ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม บริษัทได้เปิดคลังสินค้าแห่งใหม่ขนาด 20,000 ตารางเมตร ที่คลองจิก พระนครศรีอยุธยา มูลค่า 2,000 ล้านบาท เพื่อจัดส่งสินค้าครอบพื้นที่ภาคกลางและใกล้เคียง ส่วนภาคใต้ใช้คลังสินค้าที่ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเพิ่งเปิดไปปลายปีที่ผ่านมา และจะเพิ่มจำนวนรถขนส่งที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นด้วย

    ฐาปณีกล่าวว่า บริษัทได้ทำ smart manufacturing มาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยการนำ AI มาใช้ในกระบวนการผลิต ทำให้ลดต้นทุนโดยรวมไปได้ถึง 200 ล้านบาท และในปีนี้ ตั้งเป้าว่าจะประหยัดต้นทุนได้ถึง 400 ล้านบาท

    ทางด้านช่องทางกระจายสินค้า บริษัทได้ใช้เงินลงทุน 5,500 ล้านบาท ขยายธุรกิจค้าปลีก เปิดบิ๊กซีขนาดใหญ่ 3-10 สาขา มินิบิ๊กซี 200 สาขา และรีโนเวทสาขาเดิมอีก 18 สาขา และอีก 4,500 ล้านบาทจะขยายธุรกิจโรงงานของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์


    ทั้งนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ บิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ได้เปิด “Biggy’s Club” พื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็กอายุระหว่าง 1-8 ปี ที่บิ๊กซี 10 สาขาทั่วประเทศ ได้แก่ บิ๊กซี สาขาสะพานควาย, พระราม 2, บางพลี, สมุทรปราการ, สุขสวัสดิ์, ขอนแก่น, พิษณุโลก, หาดใหญ่ 2, เชียงราย และสุราษฎร์ธานี และมีแผนจะขยายไปยังสาขาอื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคตด้วย เพื่อตอกย้ำความเป็น “family destination”ของบิ๊กซี


    สำหรับ Biggy’s Club ออกแบบเป็นสนามเด็กเล่นในร่ม มีทั้งหนังสือ ของเล่น และเกมเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กๆ ไปพร้อมกับความสนุกของทุกครอบครัว โดย Biggy’s Club เหมาะสำหรับเด็กอายุ 1-8 ปีและครอบครัว เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 09.00-20.00 น. พร้อมเจ้าหน้าที่ประจำพื้นที่ดูแลเด็กๆ



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘ซีพีแรม’ ตั้งเป้าชิงแชร์ 1 ใน 5 ตลาดเบเกอรี่เมืองไทย 40,000 ล้าน ทุ่ม 2,000 ล้าน เปิดโรงงานขนมปังแผ่นที่ชลบุรี

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine