ประเทศไทยที่ตั้งเป้าจะเป็นครัวของโลก และถือว่ามีมีศักยภาพสูงในตลาดเครื่องดื่ม เห็นได้จากกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ไทยส่งออกเป็นอันดับที่ 5 ของโลก ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มน้ำผลไม้ อยู่อันดับที่ 9 ของโลก ว่าแต่ในเทรนด์ปี 2568 นี้ ผู้ประกอบการธุรกิจไทยต้องรู้เทรนด์เครื่องดื่มอะไรบ้าง
ธุรกิจต้องรู้! 10 เทรนด์เครื่องดื่มที่ผู้บริโภคมองหาในปี 2568
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า 10 เทรนด์สินค้าเครื่องดื่มปี 2568 ชี้ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญ โดยข้อมูลจาก Innova Market Insights หนึ่งในผู้นำด้านการวิจัยตลาดอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก พบแนวโน้มตลาดสินค้าเครื่องดื่มที่น่าสนใจ ดังนี้
1) ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความสดใหม่ คุณค่าทางโภชนาการ และประโยชน์ต่อสุขภาพของผลิตภัณฑ์อย่างมาก (Ingredients and Beyond) ผู้บริโภคต้องการทราบแหล่งที่มาของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่บริโภคมีคุณค่าทางโภชนาการและปลอดภัยต่อสุขภาพ
2) ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพและโภชนาการเฉพาะบุคคล (Health – Precision Wellness) ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับเครื่องดื่มเฉพาะบุคคล อาทิ การควบคุมและลดน้ำหนัก หรือการได้รับสารอาหารตามโภชนาการเฉพาะตัวในแต่ละช่วงอายุวัย เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ที่มีการกล่าวอ้างถึงการจัดการปัญหาการควบคุมน้ำหนักและโภชนาการตามช่วงอายุวัยและไลฟ์สไตล์ มีการเติบโต 10% ต่อปี
3) ความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรม และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Wildly Inventive) ผู้บริโภค 43% มักมองหารสชาติใหม่ ๆ อยู่เสมอ และ 37% ติดตามเทรนด์เครื่องดื่มผ่านโซเชียลมีเดีย การเลือกใช้รสชาติของผลไม้ตามฤดูกาล การผสมผสานระหว่างเครื่องดื่มและของหวานเป็นสิ่งที่น่าจับตามอง จากข้อมูลวิจัยพบว่า สินค้าดังกล่าวเติบโตเฉลี่ยปีละ 16% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพราะสินค้ามีเอกลักษณ์ และสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับผู้บริโภค
4) เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมช่วยฟื้นฟูลำไส้ (Gut Health – Flourish from Within) เช่น ไฟเบอร์ โปรไบโอติกส์ และวิตามิน เพื่อสร้างสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้และระบบย่อยอาหารเป็นเทรนด์เครื่องดื่มที่สำคัญ ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติดังกล่าว เติบโต 8% ต่อปี
5) ตลาดผลิตภัณฑ์จากพืช (Plant-Based – Rethinking Plants) กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตลาด Plant-Based มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 23% และผู้บริโภคยังมุ่งเน้นการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของผู้บริโภคอีกด้วย

6) การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน (Sustainability – Climate adaptation) การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศส่งผลต่ออุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ผู้บริโภค 50% ตระหนักถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้แบรนด์ต้องปรับตัว เช่น มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ทดแทนสินค้าเดิม หรือการค้นหาวัตถุดิบทางเลือกที่ทนทานต่อสภาพอากาศที่แปรปรวน
7) เครื่องดื่มเพื่อความงาม (Beauty Food – Taste the Glow) 1 ใน 5 ของผู้บริโภคทั่วโลกเลือกซื้อเครื่องดื่มที่ช่วยเรื่องรูปลักษณ์ความงาม เช่น คอลลาเจน และวิตามิน โดยเฉพาะผู้หญิงวัยกลางคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวและชะลอวัย ให้ความสำคัญกับผิวหน้า ผม และผิวกาย เป็นสำคัญ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีการเติบโตถึง 11% ต่อปี
8) วัฒนธรรมทางอาหารและเครื่องดื่ม (Food Culture - Tradition Reinvented) ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงอาหารและเครื่องดื่มกับวัฒนธรรม ความหลากหลายของรสชาติและวัตถุดิบท้องถิ่น รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สะท้อนความแตกต่างทางวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาค ซึ่งเป็นการสร้างความโดดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์ และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีความแตกต่างกัน อาทิ กลุ่มวัยผู้ใหญ่ที่ต้องการรสชาติ
ที่คุ้นเคย และกลุ่มคนรุ่นใหม่/นักท่องเที่ยวที่ต้องการทดลองประสบการณ์ใหม่ในแต่ละท้องถิ่น โดยการทดลองชิมอาหารรสชาติใหม่ที่แตกต่างออกไป
9) เครื่องดื่มสำหรับสุขภาพจิต (Mood Food - Mindful Choices) ตลาดกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภค 36% มองหาเครื่องดื่มที่ช่วยควบคุมอารมณ์และการนอนหลับ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามิน B6 B9 และ B12 เป็นส่วนผสมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากวิตามินเหล่านี้ มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการทำงานของสมองและระบบประสาท
10) การเข้ามามีบทบาทของ AI (AI – Bytes to Bites) การนำ AI มาใช้ในทุกขั้นตอนกระบวนการผลิต ตั้งแต่การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ การเลือกวัตถุดิบ การออกแบบผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการควบคุมคุณภาพ บริษัทต่าง ๆ ใช้ AI เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว ตรงจุด และมีประสิทธิภาพ
“เทรนด์ธุรกิจเครื่องดื่มปีนี้เป็นที่น่าจับตามอง อุตสาหกรรมเครื่องดื่มยังคงเติบโตต่อเนื่อง ผู้บริโภคมองหาทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพและบริโภคได้ทุกโอกาส ที่สำคัญผู้บริโภคยุคใหม่เปรียบเทียบคุณภาพ ที่มาที่ไปของวัตถุดิบ ความซื่อสัตย์และความโปร่งใสของบริษัทแลกกับราคาที่จ่าย ผู้บริโภคยอมจ่ายสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าปริมาณและราคาเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ซึ่งการแข่งขันในตลาดนี้มีความเข้มข้น ทั้งจากประเทศที่ต้นทุนการผลิตต่ำกว่า หรือประเทศที่สร้างแบรนด์มาอย่างยาวนาน ดังนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับคุณภาพวัตถุดิบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และสร้างความแตกต่าง การใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การตรวจสอบย้อนกลับสินค้า การให้ข้อมูลคุณประโยชน์ของสินค้าที่มีต่อสุขภาพ และการสร้างเรื่องราว (Story Telling) เพื่อดึงความสนใจและสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์” นายพูนพงษ์ กล่าว

ไทยส่งออกสินค้าเครื่องดื่มไร้แอลฯ เป็นอันดับที่ 5 ของโลก - กลุ่มน้ำผลไม้อันดับที่ 9 ของโลก
เมื่อย้อนดูสถิติการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (พิกัด 2202) ในปี 2566 ตลาดการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ มีมูลค่า 29,356.85 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 5 ของโลก มีสัดส่วน 5.3% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของทั้งโลก (ประเทศผู้ส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 10 อันดับแรกของโลก ได้แก่
- ออสเตรีย (9.9%)
- เยอรมนี (9.3%)
- เนเธอร์แลนด์ (8.4%)
- สวิตเซอร์แลนด์ (5.4%)
- ไทย (5.3%)
- สหรัฐอเมริกา (5.2%)
- เม็กซิโก (3.8%)
- เบลเยียม (3.7%)
- ฝรั่งเศส (3.6%)
- โปแลนด์ (3.1%)
ทั้งนี้ ตลาดส่งออกของไทยอยู่ในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก สินค้าที่ไทยส่งออกมาก เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง นมถั่วเหลือง นมยูเอชที และน้ำหรือน้ำอัดลมที่ปรุงกลิ่นรส สำหรับปี 2567 ไทยส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นมูลค่า 1,663.81 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 6.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตลาดส่งออกหลักของไทย ได้แก่
1) กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) 1,121.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (67.4% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย)
2) มาเลเซีย 88.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (5.3%)
3) จีน 53.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (3.3%)
4) ฟิลิปปินส์ 48.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (2.9%)
5) สหรัฐอเมริกา 40.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (2.5%)
สำหรับสถิติการส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ (พิกัด 2009) ในปี 2566 โลกส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ เป็นมูลค่า 17,850.13 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 9 ของโลก มีสัดส่วน 4.1% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ของทั้งโลก (ประเทศผู้ส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ 10 อันดับแรกของโลก ได้แก่
- บราซิล (15%)
- เนเธอร์แลนด์ (9.5%)
- สเปน (6.1%)
- จีน (5.1%)
- โปแลนด์ (5%)
- เยอรมนี (4.9%)
- เบลเยียม (4.7%)
- สหรัฐอเมริกา (4.2%)
- ไทย (4.1%)
- อิตาลี (3.7%)
นอกจากนี้ สินค้าที่ไทยส่งออกมาก ได้แก่ น้ำมะพร้าว น้ำผลไม้หรือน้ำพืชผักต่าง ๆ ผสมกัน และน้ำสับปะรด สำหรับปี 2567 ไทยส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ เป็นมูลค่า 959.38 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 30.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตลาดส่งออกหลักของไทย ได้แก่
1) สหรัฐอเมริกา 335.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (35.0% ของมูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มน้ำผลไม้ของไทย)
2) จีน 249.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (26.0%)
3) กลุ่มประเทศ CLMV 100.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (10.5%)
4) ออสเตรเลีย 44.65 ล้านเหรียญสหรัฐ (4.7%)
5) เนเธอร์แลนด์ 33.62 ล้านเหรียญสหรัฐ (3.5%)
ภาพ: สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : รู้จัก ‘คุณเก๋ขนมหวาน’ ขายขนมไทยเข้า 7-Eleven ยอดขายปีละ 100 ล้านชิ้น
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine