ปิ้งย่างคนโสดกระแสดี! 3 ปี Yakiniku Like ครบ 15 สาขา ปีนี้คาดยอดขายแตะ 390 ล้านบาท - Forbes Thailand

ปิ้งย่างคนโสดกระแสดี! 3 ปี Yakiniku Like ครบ 15 สาขา ปีนี้คาดยอดขายแตะ 390 ล้านบาท

เมนูปิ้งย่างยังถูกใจคนไทยเสมอ! Yakiniku Like ร้านปิ้งย่างจากญี่ปุ่นที่มีจุดเด่นคือมากินคนเดียวได้แบบไม่ต้องเขิน เข้าไทยมาครบ 3 ปี ขยายสู่ 15 สาขาแล้ว ตั้งเป้าอีก 2 ปีเพิ่มเป็น 30 สาขา


    แม้จะมีอาหารมากมายหลายประเภท แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาหารประเภท ‘ปิ้งย่าง’ ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทยเสมอ เห็นได้จากร้านอาหารสไตล์นี้แบรนด์ใหม่ๆ ทั้งจากไทยและเทศ ตั้งแต่ระดับธรรมดาไปจนถึงพรีเมียม ต่างทยอยเปิดให้บริการกันอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แบรนด์เดิมก็สามารถสร้างการเติบโตขยายกิจการในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

    ล่าสุดกับร้าน Yakiniku Like ร้านปิ้งย่างยากินิกุสไตล์ Fast Casual จากประเทศญี่ปุ่น โดยในประเทศไทยบริหารโดยบริษัท เอ็มเอ็กซ์ แจแปนนิส ฟู้ด คอนเซ็ปต์ (ประเทศไทย) จำกัด เข้ามาเปิดในไทยสาขาแรกเมื่อปี 2564 ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว และปัจจุบันได้ขยายสู่สาขาที่ 15 แล้ว ณ One Bangkok ชั้น B1 โซน Parade เรียกได้ว่าได้รับการตอบรับดีจนสามารถสร้างการเติบโตได้ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

    ทิพย์สุดา อเนกวัชรากรณ์ Marketing Manager (Thailand Market) Marketing lead ในส่วน Product และ Communication กล่าวว่า Yakiniku Like มีจุดเด่นในการบริการเสิร์ฟอย่างรวดเร็วใน 3 นาที พร้อมเตาย่างไร้ควันและพัฒนาติดตั้งระบบเครื่องดูดควันแบบ 2 ระบบ ที่ไม่ทำให้กลิ่นเนื้อย่างติดเสื้อผ้า ซึ่งเราลงทุนในเรื่องเตาและระบบฟอกอากาศคิดเป็น 30% ของค่าก่อสร้างร้าน


    ขณะที่อีกปัจจัยหนึ่งคือทำให้ได้รับการตอบรับที่ดี มาจากเทรนด์ Solo Dining หรือการรับประทานอาหารคนเดียว ที่หลายคนอาจรู้สึกว่าการรับประทานอาหารคนเดียวอาจเป็นเรื่องน่าเขินอายและลำบากโดยเฉพาะอาหารประเภทปิ้งย่าง Yakiniku Like จึงตีโจทย์นี้ว่าจะทำปิ้งย่างที่สามารถกินคนเดียวได้ สอดรับกับพฤติกรรมของบริโภคที่มีไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป

    “เทรนด์ Solo Dining เริ่มมาแรงมากขึ้นจากการที่คนแต่งงานน้อยลง ซึ่งปัจจุบันมีร้านอาหารที่เปิดมาเพื่อตอบรับเทรนด์นี้มากขึ้น หรือพูดได้ว่าเราเริ่มมีคู่แข่งมากขึ้น อย่างไรก็ตาม Yakiniku Like ของเราคงจุดเด่นทั้งในเรื่องของรสชาติ ความรวดเร็วที่สามารถอิ่มอร่อยได้ในเวลา 60 นาทีโดยไม่มีกลิ่นเหม็นติดเสื้อผ้า และคุ้มค่าเมื่อเทียบราคากับคุณภาพที่ได้”


ทิพย์สุดา อเนกวัชรากรณ์


    ทิพย์สุดา กล่าวว่า สำหรับสาขาของ Yakiniku Like ที่ขายดีที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เซ็นทรัล ลาดพร้าว, เมกา บางนา และเซ็นทรัลเวิลด์ โดยกลุ่มร้านที่ขายดีเหล่านี้รองรับลูกค้ากว่า 400 ที่นั่ง/วัน หรือประมาณ 6 รอบ และสาขาที่ขายดีที่สุดมีรายได้ราว 5 ล้านบาท/เดือน ยอดใช้จ่ายต่อบิลอยู่ที่ 760 บาท ส่วนยอดใช้จ่ายต่อหัวอยู่ที่ 350 บาท โดยสัดส่วนลูกค้าเป็นคนไทย 80-90% และเป็นผู้หญิง 60-70%

    สถิติที่น่าสนใจของร้านยังพบอีกว่าลูกค้าที่มารับประทานคนเดียวคิดเป็นสัดส่วน 25% มาเป็นกลุ่ม (3 คนขึ้นไป) 25% และมาสองคนมีสัดส่วนมากถึง 50% นอกจากนี้ Yakiniku Like ยังพัฒนาระบบสมาชิกขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าหลังผ่านไป 3 เดือนมียอดสมัครกว่า 100,000 คน

Yakiniku Like สาขาที่ 15 ณ One Bangkok


    “ส่วนหนึ่งที่ร้านได้รับการตอบรับดีมาจากกระแสการบอกปากต่อปาก และโซเชียลมีเดีย ที่ร้านเรามีคนเรียกว่าปิ้งย่างคนโสดก็มาจากที่อินฟลูเอนเซอร์ตั้งให้ การเติบโตของเรามากกว่าที่คาดไว้ คือปีแรกเราวางแผนขยายแค่ 3 สาขา แต่สามารถเปิดได้ถึง 5 สาขา ส่วนปีที่สองสามารถเปิดได้ถึง 6 สาขา ขณะที่ปีนี้เราคาดว่าสิ้นปียอดขายจะปิดที่ 390 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 12% ซึ่งน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ 15%”

    ทิพย์สุดาบอกว่า การเติบโตในปีนี้ที่น้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้เป็นผลมาจากการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง มีร้านประเภท Solo Dining มาเปิดเยอะขึ้น ช่วงปีนี้คนเข้าร้านน้อยลง 3-10% ทุกเดือน โดยเดือนกันยายนทราฟิกหายไปถึง 10% นอกจากนี้ยังเผชิญกับภาวะต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น โดยเฉพาะเนื้อคารูบิซึ่งเป็นเนื้อที่ขายดีที่สุด แต่ละเดือนมีสัดส่วนการใช้มากถึง 70% ของเนื้อทั้งหมด โดยนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา มีราคาแพงขึ้น 30% นำมาสู่การปรับราคาโดยรวมขึ้น 3% และปรับเมนูเป็นแบบใหม่ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

    “เดิมเซตเริ่มต้นของเราราคา 179 บาท ตอนนี้เราพยายามปรับเปลี่ยนมิกซ์เมนูใหม่เอาเนื้อหมูและเนื้อไก่มาผสม เพื่อให้ลูกค้าไม่รู้สึกว่าได้รับผลกระทบมากนัก โดยปัจจุบันเซตเริ่มต้นของเรามีราคาอยู่ที่ 169 บาท”


    “ภายในปีหน้า 2568 Yakiniku Like มีแผนที่ขยายให้ได้อีก 3 สาขาเป็นอย่างน้อย ซึ่งจะยังคงอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีการเน้นการทำแบรนด์แคมเปญและสร้าง brand awareness มากขึ้น เพราะถ้าเทียบกับแบรนด์อื่นเราอาจยังไม่เป็นที่รู้จักขนาดนั้น คือถ้าเดินผ่านคน 10 คน จะพบว่า 8 ใน 10 ยังไม่รู้จักเรา ดังนั้นปีหน้าเราตั้งใจจะใช้งบมาร์เก็ตติ้งเพิ่มขึ้นเป็น 12 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้ที่ใช้อยู่ 6-7 ล้านบาทเท่านั้น โดยตั้งเป้าร่วมมือกับ KOLs มากขึ้น”

    ทิพย์สุดา บอกอีก่า เนื่องจากปัจจุบันเรามี heavy user หรือคนที่มากินซ้ำมากกว่า 2 ครั้ง/เดือน เฉลี่ยประมาณ 30% และยังมี Gap ที่จะจับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยกำหนดเป้าหมายการเติบโต Target ที่ 20%

    “ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เราไม่เคย Compromise เรื่องคุณภาพ ไม่เคยโกงลูกค้า นั่นทำให้ลูกค้าติดใจและมากินซ้ำ อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีในปัจจุบันว่าธุรกิจร้านอาหารเป็นการแข่งขันที่สูงมาก มีร้านเกิดใหม่เยอะมากไม่ว่าจะ Local หรือ Chain ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของผู้บริโภค ในส่วนของแบรนด์ก็จะยังคงมุ่งเน้นไปที่การชูจุดเด่นของแบรนด์ต่อไป ด้วยความที่ตัวแบรนด์มีที่มาจากญี่ปุ่นเรามีทีมที่ Approve quality ต่างๆ ที่จะมั่นใจว่าเป็นไปตามมาตรฐาน และเหมือนกับทางญี่ปุ่นมากที่สุด” ทิพย์สุดากล่าวทิ้งท้าย



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : จึ้งมาก! น้ำดื่มผสมวิตามิน กลิ่นกะหล่ำปลี ผลงานบาร์บีคิวพลาซ่า x วิตอะเดย์ สร้างปรากฏการณ์ใหม่วงการอาหาร

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine