‘Winter is Coming’ สำหรับ HBO หลัง Game of Thrones จบบริบูรณ์ใน season 8 ส่งผลให้สมาชิก 1 ใน 3 ยกเลิกการสมัครสมาชิกหรือตั้งใจว่าจะยกเลิก
InMyArea Research บริษัทวิจัยทางการตลาด สำรวจผู้บริโภควัย 22-38 ปี จำนวน 1,000 คนที่ได้รับชมรายการของ WarnerMedia ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และผลจากการสำรวจอาจทำให้ HBO ต้องวิตก เพราะ 1 ใน 3 ของผู้ถูกสำรวจตอบว่าตนเองได้ยกเลิกบัญชีสมาชิกไปแล้วหรือตั้งใจว่าจะยกเลิกเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ 26% ของผู้ถูกสำรวจในวัยมิลเลนเนียลยังตอบด้วยว่าตนเอง “ขอยืม" บัญชี HBO ของผู้อื่นมาใช้ในการดูซีรีส์ (ทั้งนี้ หากเทียบกับ Netflix อาจนับได้ว่ามีสถานการณ์ที่ดีกว่า เพราะ Netflix มีบัญชีที่ “ขอยืม” มาใช้อยู่ 35%)
“หากว่าผู้ชม 1 ใน 3 ที่รับชม Game of Thrones ยกเลิกสมาชิก HBO หลังจากเอ่ยคำลากับ Westeros (--ชื่อดินแดนหนึ่งในซีรีส์เรื่องนี้) สถานีจะเสียผู้ชมกลุ่มหลักและขาดรายได้ค่าสมาชิกอย่างมีนัยสำคัญ” รายงานจาก InMyArea เปิดเผย
โดยผู้ชมวัย 22-38 ปี ถือเป็นกลุ่มผู้ชมที่เหนียวแน่นกับซีรีส์ GoT มากที่สุด นอกจากพวกเขาจะติดตามชมทุกตอนแล้วยังช่วยสร้าง ‘มีม’ และโพสต์ต่างๆ ทางโซเชียลมีเดียด้วย ส่งผลให้ซีรีส์ดราม่าที่มีฉากในสไตล์ยุคกลางเรื่องนี้สามารถดำเนินมาได้ยาวนานถึง 8 season เฉพาะ 2 season สุดท้ายนั้นมียอดผู้ชมเฉลี่ยแตะ 10 ล้านครั้งต่อตอน
GoT เป็นซีรีส์ที่มีผู้ชมมากที่สุดของช่อง HBO และมากกว่าอันดับ 2 คือ Westworld ถึง 3 เท่าตัว แม้แต่ซีรีส์ยอดฮิตอื่นๆ อย่าง Chernobyl และ Big Little Lies ก็ยังไม่อาจเทียบรัศมีได้
สมรภูมิ Content is King
“ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นว่า Content is King-คอนเทนต์คือราชา และผู้บริโภคเลือกรับชมคอนเทนต์อย่างเฉพาะเจาะจงมากกว่าการเลือกจากแบรนด์” John Busby กรรมการผู้จัดการ InMyArea กล่าว
“อีกทั้งปัจจุบันนี้เรายังมีตัวเลือกแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเป็นโหล ต่างจากเมื่อก่อนที่มีไม่มาก และเมื่อการแข่งขันยิ่งดุเดือดขึ้น เราคาดว่าผู้บริโภคจะเริ่มเลือกแพลตฟอร์มที่ตนเองจะ ‘จ่าย’ อย่างระมัดระวัง รวมถึงเลือกว่าบัญชีแพลตฟอร์มไหนที่จะ ‘ขอยืม’ จากเพื่อน”
อย่างไรก็ตาม HBO อาจจะมีทางแก้เกมนี้เพราะพวกเขาเพิ่งจะประกาศแผนสร้างแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง HBO Max ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2020 สู้กับคู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix
HBO Max จะเป็นบริการที่รวมเอาคอนเทนต์ของทั้งเครือ WarnerMedia มารวมในที่เดียว การรวมพลังทั้งเครือครั้งนี้จะทำให้บริการ HBO Max มีครบทั้งคอนเทนต์จาก HBO, Warner Bros., New Line, DC Entertainment, CNN, TNT, TBS, truTV, The CW, Turner Classic Movies และ Cartoon Network
โดยคอนเทนต์ขุมทองที่ปัจจุบันยังปล่อยให้ Netflix ถือลิขสิทธิ์การเผยแพร่และการดึงกลับมาจะสะเทือน Netflix มิใช่น้อย เช่น Friends ซิทคอมจำนวน 236 ตอน ที่ Netflix ยอมทุ่มเงินต่อสัญญาไป 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน เพราะเป็นหนึ่งในคอนเทนต์ยอดฮิตของแพลตฟอร์ม รวมถึง The Office ของ NBC ที่จะหมดสัญญาในปี 2021
HBO นั้นเติบโตมาจากรากฐานช่องเคเบิลทีวีก่อนจะเริ่มมีระบบวิดีโอ ออน ดีมานด์ จนกระทั่งปี 2018 บริษัทแม่ WarnerMedia ถูกขายให้กับบริษัท AT&T เครือข่ายโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ ด้วยเม็ดเงินสูงถึง 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
การเดินหมากทำระบบสตรีมมิ่งของตัวเองถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าจับตามอง เพราะในเชิงคอนเทนต์นั้น HBO ได้รับการยอมรับว่าเป็นช่องที่สร้างซีรีส์ดราม่าได้อย่างมีคุณภาพ
ส่วนปัจจัยด้าน “ราคา” ขณะที่ Netflix ในสหรัฐฯ คิดค่าบริการเริ่มต้น 12.99 เหรียญต่อเดือน HBO Max นั้นคาดกันว่าอาจจะเปิดราคาที่ 16-17 เหรียญต่อเดือน ส่วน Disney+ ผู้ผลิตคอนเทนต์อีกรายหนึ่งก็เพิ่งประกาศเปิดตัวเช่นกัน โดยระบุว่าแพลตฟอร์มจะลงสนามที่ราคา 6.99 เหรียญต่อเดือนเท่านั้น
ที่มา- Does HBO Have A Problem With Millennials Now That 'Game Of Thrones' Is Over?
- HBO Is Launching A New Streaming Service Because Another Password Is Just What We Need
- Netflix Rival HBO Max To Launch Next Year With ‘Friends’
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine