ศึกร้านสะดวกซักเดือด “ลอนดรี้บาร์” แบรนด์ร้านซักผ้าหยอดเหรียญสัญชาติมาเลเซียโหมขยายตลาดไทย เล็งผุด 300 สาขาทั่วประเทศใน 3 ปี
พิมลวรรณ ชีวเกรียงไกร ผู้บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ลอนดรี้บาร์ ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ลอนดรี้บาร์ ไทย เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างนักลงทุนไทยและผู้ให้บริการร้านสะดวกซัก 24 ชั่วโมง แบรนด์ “ลอนดรี้บาร์” จากประเทศมาเลเซีย ดำเนินธุรกิจเพื่อขยายแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักในประเทศไทยและกลุ่มประเทศ CLMV คือ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม โดยมีงบลงทุน 50 ล้านบาท สัดส่วนการลงทุนระหว่างชาวไทยและมาเลเซีย 60:40
“ก่อนหน้านี้เราทำธุรกิจขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ แล้วเริ่มเห็นตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าเติบโตดีโดยเฉพาะเครื่องซักผ้า ที่มีคนซื้อไปทำเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญเยอะมาก เราสังเกตได้ว่าตลาดนี้เติบโตดี แต่ปัญหาคือลูกค้านำเครื่องซักผ้าบ้านไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ทำให้เครื่องเสียบ่อย” พิมลวรรณ กล่าว
“ช่องว่างทางการตลาดที่ชัดเจนทำให้เราศึกษาธุรกิจแฟรนไชส์ประเภทนี้อยู่กว่า 4 ปี ก่อนจะเจอ ลอนดรี้บาร์ และตัดสินใจทุ่มงบลงทุนเพื่อนำแบรนด์นี้เข้ามาในไทย โดยลอนดรี้บาร์ถือเป็นแบรนด์ร้านสะดวกซักอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2556 และปัจจุบันสามารถขยายสาขาไปแล้วกว่า 530 สาขาในมาเลเซีย บรูไน และตุรกี”
Paul Ang กรรมการผู้จัดการ กลุ่มลอนดรี้บาร์ กล่าวว่า ความสำเร็จของลอนดรี้บาร์เกิดจากการตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งการมีแอพพลิเคชั่นและเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทำให้ผู้บริโภคชื่นชอบ ส่วนการร่วมมือเพื่อขยายตลาดในไทยและกลุ่มประเทศ CLMV ครั้งนี้เนื่องจากเห็นถึงความตั้งใจของนักลงทุนไทยในการทำธุรกิจ และมีวิสัยทัศน์เดียวกันในการพาลอนดรี้บาร์เติบโตในทวีปเอเชีย
“ความท้าทายของการขยายตลาดในไทยคือการให้คนไทยหันมาใช้ร้านสะดวกซัก แต่เชื่อว่าด้วยความสะอาด เทคโนโลยีที่ทำให้สะดวก และบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนในปัจจุบันของลอนดรี้บาร์ จะทำให้ขยายตลาดได้ ส่วนตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค เรากำลังขยายการลงทุนไปที่ฟิลิปปินส์ โดยจะเปิดสาขาแรกภายในปีนี้”
มุ่ง 3 ปีขยายในไทย 300 สาขา
พิมลวรรณ ระบุว่า จุดเด่นของลอนดรี้บาร์คือการใช้เครื่องซักผ้าฝาหน้าระดับอุตสาหกรรมแบบสเตนเลสจากสหรัฐอเมริกา เครื่องอบผ้าระดับอุตสาหกรรมจากยุโรป อายุการใช้งาน 15-20 ปี ได้รับมาตรฐาน ISO-9001 รับประกันเครื่องอะไหล่ 5 ปี โดยเป็นเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญที่รับเฉพาะโทเคนและระบบ e-payment ของร้าน (มีเครื่องแลกโทเคนที่รับเฉพาะธนบัตร)
“นอกจากนี้ ความแตกต่างของลอนดรี้บาร์คือบริการฟรีน้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม และน้ำยาฆ่าเชื้อสูตรเฉพาะผ่านเครื่องจ่ายน้ำยาอัตโนมัติ ทั้งนี้ น้ำยาเหล่านี้ลอนดรี้บาร์วิจัย พัฒนาและมีโรงงานผลิตเอง ทั้งยังเป็นร้านสะดวกซักรายแรกที่นำบริการนี้มาใช้ ซึ่งดึงใจลูกค้ามาเลเซียจนสามารถขยายสาขาได้กว่า 400 สาขาในมาเลเซีย ขณะเดียวกันยังสามารถวางจำหน่ายน้ำยาในซูเปอร์มาร์เก็ตและอี-คอมเมิร์ซอย่างลาซาด้าและช้อปปี้ด้วย”
พิมลวรรณ กล่าวว่า ภายในร้านยังมีพื้นที่ส่วนกลางพร้อม wi-fi ฟรีสำหรับผู้ใช้บริการ โดยอัตราค่าซักผ้าเริ่มต้น 40 บาท ค่าอบผ้าเริ่มต้น 40 บาท ใช้เวลาขั้นต่ำอย่างละ 24 นาที นอกจากนี้ ลอนดรี้บาร์ยังมีการพัฒนาแอพพลิเคชั่นมือถือให้เจ้าของร้านแฟรนไชส์สามารถดูธุรกิจของตัวเองได้ตลอดเวลาอีกด้วย
สำหรับลอนดรี้บาร์ในประเทศไทยเริ่มเปิดให้บริการสาขาแรกตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันให้บริการแล้ว 5 สาขา คือ เชียงใหม่ เชียงราย กรุงเทพฯ และในเร็วๆ นี้เตรียมเปิดเพิ่มอีกในหลายจังหวัด คือ พิษณุโลก ลำปาง ลำพูน ขอนแก่น สุรินทร์ อุบลราชธานี และอีกหลายจุดในกรุงเทพฯ
“เราตั้งเป้าขยายสาขาให้ครบ 30 สาขาในปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 300 สาขาภายใน 3 ปี โดยจะมีการลงทุนจากเราเองประมาณ 20% เน้นไปที่หัวเมืองใหญ่ ทั้งนี้ คาดว่าหากเปิดสาขาในไทยครบ 200 สาขา เราก็น่าจะมีฐานตลาดที่แข็งแกร่งพอที่จะขยายไปยัง CLMV ได้ โดยมองว่าประเทศแรกที่จะขยายตลาดไปได้คือกัมพูชา เนื่องจากค่าครองชีพและพฤติกรรมของผู้บริโภคไม่ต่างจากเมืองไทยมาก” พิมลวรรณกล่าว และว่า
“ตลาดร้านสะดวกซักในมาเลเซียตอนนี้มูลค่าราวหมื่นล้านบาท เป็นเรดโอเชียนที่มีผู้เล่นมากมาย มีร้านสะดวกซักมากกว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศ ขณะที่ประเทศไทยที่ยังเป็นบลูโอเชียนอยู่ มีผู้เล่นอยู่ราว 7-8 ราย และมูลค่ายังอยู่ราว 400-500 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งยังมีโอกาสเติบโตได้อีก และคาดว่าจะก้าวสู่เรดโอเชียนได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”
ด้าน ชานนท โตวิกกัย กรรมการบริหาร บริษัท ลอนดรี้บาร์ ไทย จำกัด กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในแฟรนไชส์ร้านสะดวกซัก ลอนดรี้บาร์ แพคเกจเริ่มต้น 2.1 ล้านบาท ให้บริการเครื่องซัก 4 เครื่อง เครื่องอบ 4 เครื่อง บนพื้นที่ 40-60 ตารางเมตร รวมการตกแต่งภายในและระบบต่างๆ ในร้านทั้งหมด ไม่มีการเก็บค่า loyalty fee และส่วนแบ่งรายได้จากแฟรนไชส์ นอกจากนี้ยังฟรีค่าแฟรนไชส์ในช่วง 3 ปีแรก
“เรามีความตั้งใจที่จะขยายแบรนด์ลอนดรี้บาร์ในไทยและ CLMV จึงพยายามกำหนดนโยบายที่ยืดหยุ่นกับผู้ลงทุนมากที่สุด โดยผู้ลงทุนสามารถคืนทุนได้ในระยะเวลาราว 3 ปี”
ชานนท กล่าวอีกว่า แผนงานต่อจากนี้คือการสร้างโรงงานผลิตน้ำยาเองในไทย จากที่ตอนนี้ยังต้องนำเข้าจากมาเลเซีย โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มสร้างได้ในไตรมาส 2 ปี 2563 รวมถึงพัฒนาเครื่อง kiosk สำหรับแลกเหรียญและชำระเงินทุกรูปแบบในเครื่องเดียวให้สามารถใช้ในประเทศไทยได้ในไตรมาสแรกของปีหน้า
"เราคาดว่าในอนาคตไทยจะมีร้านสะดวกซักหลายๆ แบรนด์เหมือนกับมาเลเซีย แต่เราตั้งเป้าว่าแบรนด์ที่เป็นอันดับ 1 ในใจผู้บริโภคจะต้องเป็นลอนดรี้บาร์ให้ได้" รายงานโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creatorไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine