"กันยง" ร่วมทุนบริษัทไต้หวัน เปิดตัวธุรกิจแฟรนไชส์เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญพรีเมียม “Maru Laundry” เจาะกลุ่มชาวคอนโดฯ-เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ ลงทุนเริ่มต้น 3 ล้านบาท คาดปีนี้เติบโต 5-10 สาขา
ปวริศ โพธิวรคุณ รองประธานกรรมการ บริษัท กันยงอัพยัง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท กันยง จำกัด ได้ร่วมมือกับบริษัท อัพยัง จำกัด ผู้นำด้านอิเล็กทรอนิกส์จากประเทศไต้หวัน จัดตั้งบริษัท กันยงอัพยัง จำกัด ในสัดส่วนการลงทุน 50:50 ปั้นธุรกิจแฟรนไชส์แบรนด์ใหม่ “Maru Laundry” หรือมารุ สะดวกซัก ซึ่งเป็นบริการเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ
“กันยงเคยทำธุรกิจ OEM เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญแบบฝาบนมาก่อน เราพบว่าความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนไปคือ ต้องการความสะอาดและเครื่องที่ทนทานมากขึ้น ทำให้บริษัทเห็นแนวโน้มการเติบโต จึงร่วมกับอัพยังในการให้บริการแฟรนไชส์เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ เทคโนโลยีจากญี่ปุ่น"
"จุดเด่นของ Maru Laundry คือใช้เครื่องขนาดใหญ่ระดับที่ใช้ในอุตสาหกรรม สามารถซักและอบแห้งได้ในเครื่องเดียว โดยใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น มี 2 ขนาดด้วยกันคือ 17 และ 27 กิโลกรัม ราคาค่าบริการเริ่มต้นที่ 200 บาท เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ระดับกลาง-บน”
ปวริศ กล่าวว่า บริษัทคาดการณ์การเติบโตปีนี้ 5-10 สาขาในกรุงเทพฯ ในพื้นที่เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์หรือคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า และตั้งเป้าขยายสาขาออกสู่ต่างจังหวัดไม่เกินปลายปีหน้า โดยมองทำเลหลักคือหัวเมืองใหญ่ เช่น ขอนแก่น เชียงใหม่ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากผู้ซื้อแฟรนไชส์สนใจลงทุนแบบสแตนด์อะโลนก็สามารถทำได้ โดยจะมีทีมงานเข้าไปช่วยวิเคราะห์ทำเลและโอกาสความเป็นไปได้ในธุรกิจให้ด้วย
ขณะเดียวกัน ในปีนี้บริษัทยังลงทุนสร้างร้านต้นแบบในพื้นที่ห้วยขวาง และในอนาคตเตรียมสร้างเพิ่มในเอกมัยและปุณณวิถี เพื่อให้ผู้สนใจสามารถเข้ามาดูโอกาสและความเป็นไปได้ โดยขณะนี้มีผู้สนใจลงทุนแล้วประมาณ 10 ราย
“ตลาดเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญในสเกลนี้เริ่มมีในไทยตั้งแต่ 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีผู้เล่นประมาณ 5-7 ราย ให้บริการแล้วราว 300 สาขา และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 1,000 สาขาภายใน 3-5 ปี จากแนวโน้มการเติบโตที่ดีและภาวะที่เริ่มมีการแข่งขัน จึงมองว่าหากเราไม่เข้าสู่ตลาดในตอนนี้ก็อาจไม่ทันได้”
ปวริศ กล่าวอีกว่า ถึงแม้ค่าบริการของ Maru Laundry อาจดูสูงหากเทียบกับเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญฝาบนในหอพัก แต่ก็ยังมีราคาถูกกว่าการส่งผ้าซักในร้านซักรีด ที่ซักอบรีดชิ้นเดียวอาจอยู่ที่ 40-50 บาท ราคาของ Maru Laudry จึงเหมือนอยู่ในช่วงช่องว่างระหว่างบริการซักผ้า 2 รูปแบบดังกล่าว โดยยังมอบความสะอาดได้มากกว่าเครื่องฝาบนทั่วไป พร้อมอบผ้าได้ในเครื่องเดียว จึงมั่นใจว่าลูกค้าที่ใช้บริการจะได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างแน่นอนบรูซ วู กรรมการผู้จัดการ บริษัท กันยงอัพยัง จำกัด กล่าวว่า อัพยังเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญมากว่า 40 ปีในไต้หวันภายใต้แบรนด์อัพยัง นอกจากนี้ยังให้บริการในไต้หวันภายใต้แบรนด์ Sesa มาแล้ว 7 ปี มีสาขาในไต้หวันกว่า 100 สาขา และยังให้บริการในญี่ปุ่นภายใต้แบรนด์คุรินคุรินอีก 5 สาขาด้วย
“เราทำการศึกษาตลาดในไทยมา 2 ปี และเห็นพฤติกรรมของคนไทยที่ยอมจ่ายเพื่อให้ได้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หรือเพื่อความสะดวกสบาย เราจึงเห็นโอกาสการเติบโตในอุตสาหกรรมนี้ โดยเรามีหน้าที่ให้คำแนะนำและวิเคราะห์โอกาสแก่ผู้ลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด”
สำหรับการลงทุนเริ่มต้นอยู่ที่ 3 ล้านบาท เป็นค่าเครื่อง 2.5 ล้านบาท และค่าติดตั้ง 5 แสนบาท พื้นที่ขั้นต่ำ 50 ตารางเมตร สามารถให้บริการได้ 6 เครื่อง ขณะที่ขนาดพื้นที่สูงสุดอยู่ที่ 300 ตารางเมตร ให้บริการได้ 20 เครื่อง โดยเครื่องซักผ้าเป็นเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นแบรนด์ Aqua อายุการใช้งาน 15 ปี
โดยตัวเครื่องยังมีความพิเศษคือ ไม่สามารถเปิดฝาเครื่องได้ขณะที่เครื่องทำงาน, สามารถตรวจสอบสถานะการทำงานได้ผ่านแอพพลิเคชั่น และยังสามารถเช็กสถานะเครื่องว่าง หรือเวลาที่เครื่องจะว่างได้อีกด้วย
“เครื่องขนาด 17 กิโลกรัม เป็นเครื่องที่เหมาะสมสำหรับปริมาณเสื้อผ้าของคน 2 คนใน 1 สัปดาห์ นอกจากนี้ยังสามารถซักผ้านวมได้ มาพร้อมระบบชำระเงินให้เลือก 3 แบบ คือ หยอดเหรียญ บัตรเติมเงิน และระบบ QR code โดยระบบบัตรเติมเงินนั้น ผู้ลงทุนต้องซื้อเครื่องเติมเงินจากบริษัทในราคาเครื่องละ 50,000 บาท ซึ่งขณะนี้กำลังพัฒนาเครื่องดังกล่าวอยู่ และในอนาคตอันใกล้จะมีระบบเพย์เมนต์ชื่อ มารุ เพย์ ที่ลูกค้าสามารถจ่ายเงินผ่าน QR code ได้เหมือนกับไลน์เพย์ด้วย”
บรูซ กล่าวว่า นอกจากผู้สนใจทั่วไปแล้ว ธุรกิจนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีงานประจำอยู่แล้ว แต่อยากลงทุนในธุรกิจที่ 2 เพราะใช้เวลาในการบริหารจัดการเพียงวันละ 30 นาทีเท่านั้น ซึ่งบริษัทจะสอนวิธีการดูแลรักษาเครื่องให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ พร้อมมีทีมงานคอยดูแลหากมีปัญหา โดยหากได้รับการตอบรับดี คาดว่าใช้เวลาคืนทุนภายใน 2-3 ปีเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนสำหรับเก็บค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ (Franchise Fee) แต่ในปีหน้าบริษัทจะพิจารณาอีกครั้ง
“เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมกับ กันยง ในการดำเนินธุรกิจนี้ เนื่องจากกันยงเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพในไทย และมั่นใจว่าการร่วมธุรกิจกันครั้งนี้จะนำไปสู่ความสำเร็จในอนาคตของทั้ง 2 บริษัท ขณะเดียวกัน ด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปีของอัพยัง จึงมั่นใจว่าจะมอบบริการที่ดีที่สุดให้ผู้บริโภค และสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้ผู้สนใจลงทุนได้”
รายงานโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creatorไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine