นีโอ คอร์ปอเรท งัดบิ๊กแคมเปญ ตอกย้ำ แบรนด์คนไทยอยู่เคียงข้างคนไทยยาวนานกว่า 33 ปี ร่วมส่งต่อกำลังใจ มากกว่า 20 ล้านบาท เตรียมความพร้อมจัดตั้ง R&D Center เผยยอดขาย "ซักผ้าแบบน้ำ" อีคอมเมิร์ชเติบโต 240%
ปัทมา ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำสัญชาติไทย ภายใต้แบรนด์ ไฟน์ไลน์, ดีนี่, บีไนซ์, ทรอส, เอเวอร์เซ้นส์, วีไวต์, สมาร์ท และ โทมิ เปิดเผยว่า นีโอ คอร์ปอเรท ได้ทุ่มเม็ดเงินและความร่วมมือต่าง ๆ ภายใต้บิ๊กแคมเปญ
“NEO for Thais นีโอ เคียงข้างคนไทย พ้นภัยโควิด”
อีกทั้งยังจัดตั้ง R&D Center โดยระดมผู้เชี่ยวชาญระดับหัวกะทิในแต่ละส่วนงาน รวมทั้งจับมือกับคู่ค้าระดับโลก พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ดีที่สุด และยกระดับมาตรฐานการผลิตระดับสูง ตามเจตนารมณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ปีแรกจนเข้าสู่ปีที่ 33 สร้างความเชื่อมั่นเพื่อส่งต่อผลิตภัณฑ์คุณภาพให้กับคนไทยในยุค New Normal
ล่าสุด บริษัทฯ ได้พัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างโดดเด่นเข้าสู่ตลาด ทั้งซักผ้าผู้ใหญ่และซักผ้าเด็ก เช่น
“ไฟน์ไลน์” (Fineline) “ซักผ้าสูตรเข้มข้น” สำหรับซักกลางคืน มีเทคโนโลยี Fx-Tech ลิขสิทธิ์เฉพาะจากไฟน์ไลน์ ช่วยกำจัดกลิ่นอับชื้นที่ต้นเหตุ เพื่อเสริมทัพและตอกย้ำการที่ ไฟน์ไลน์ แบรนด์ของคนไทยแบรนด์แรกที่สามารถขึ้นเป็นอันดับ 2 ในตลาดผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำ
ขณะเดียวกัน
“ดีนี่”(D-nee) ผู้นำผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดเพื่อลูกน้อย ส่งผลิตภัณฑ์ “ซักผ้าเด็กสูตรออร์แกนิค” มีส่วนผสมของออร์แกนิก อโลเวร่า ช่วยขจัดคราบหลัก 6 ชนิดอย่างอ่อนโยน ตอกย้ำความเป็นที่ 1 ในตลาดผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และเป็นอันดับ 3 ในตลาดผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำ ส่วน “
สมาร์ท”(Smart) นำเสนอผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้นเข้าสู่ตลาด โดยมีจุดขายที่โดดเด่น ในเรื่องการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ถึง 99.9% โดยได้รับการพิสูจน์จากสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ทั้งนี้ เทรนด์ของผู้บริโภคหันมานิยมผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมาทดแทนผงซักฟอก ปัจจุบันซักผ้าแบบน้ำมีสัดส่วนตลาดมากถึง 33% จากเดิมที่ 21% ในปี 2558 หมายถึงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 12% ในเวลาเพียงแค่ 6 ปี โดยในครึ่งปีแรกของปี 2564 ตลาดผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำมีมูลค่ามากว่า 3,000 ล้านบาท
“นีโอ คอร์ปอเรท ให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าและจุดขายที่แตกต่างจากคู่แข่ง รวมทั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ศักยภาพของบริษัทในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ของทุกหน่วยงาน รวมถึงการทำงานแบบ Teamwork ความร่วมมือของคู่ค้า ทำให้สามารถรับมือกับตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไฟน์ไลน์ มีส่วนแบ่งการตลาดขึ้นเป็นอันดับ 2 และดีนี่มีส่วนแบ่งเป็นอันดับ 3 ทำให้ นีโอ คอร์ปอเรท เป็นบริษัทไทยที่มียอดขายสูงสุดในตลาดซักผ้าแบบน้ำ” ปัทมา กล่าวย้ำ
บริษัทฯ ยังมั่นใจด้วยว่า ปี 2564 กลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำจะบรรลุเป้าหมายยอดขายเติบโตที่ 10% จากครึ่งปีแรกเติบโตแล้วถึง 12% โดยเฉพาะช่องทาง Online e-commerce เติบโตสูงถึง 240% และตั้งเป้าหมายปี 2565 จะเติบโตต่อเนื่อง 20% อย่างไรก็ตาม ปีนี้ถือเป็นปีที่เศรฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด ทำให้บริษัทฯ ต้องเพิ่มความรัดกุมในการวางแผนการตลาดอย่างครอบคลุม 360 องศา โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ปรับเปลี่ยนไป จึงพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์แอนตี้แบคทีเรียเพิ่มเข้ามาในตลาด ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็กและซักผ้าผู้ใหญ่ เร่งสร้างความเป็น Top of Mind Brand ของ ดีนี่ และ ไฟน์ไลน์ ทั้งทาง Online และ Offline
สำหรับ Online ได้เพิ่มการสื่อสารและการจัดจำหน่ายในช่องทาง e-commerce เพื่อรองรับสภาวะที่ผู้บริโภคต้องลดการออกจากบ้าน ทั้งช่องทางหลักและช่องทางใหม่ ๆ ของคู่ค้า ทั้ง Modern Trade และ Traditional Trade ที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการ Live ขายสินค้าทาง Facebook Fanpage ในช่องทางของบริษัทฯ เป็นประจำทุกเดือน รวมถึงการเพิ่มโอกาสในการทดลองใช้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ผ่านการแจกผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง ส่วน Offline ยังคงขยายช่องทางการจัดจำหน่าย ส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง และเน้นปรับการจัดตกแต่งพื้นที่หน้าร้านให้โดดเด่น ในทุกประเภทร้านค้า
ส่งกำลังใจสู้โควิด
เพื่อสนับสนุนคู่ค้าอย่างเต็มที่ เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องการเติบโตไปพร้อมๆ กับสังคมไทย จึงเป็นที่มาของแคมเปญ
“NEO for Thais นีโอ เคียงข้างคนไทย พ้นภัยโควิด” เนื่องจากวิกฤตครั้งนี้สร้างความบอบช้ำให้คนไทยอย่างมาก
นีโอ คอร์ปอเรท จึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อกำลังใจสู่สังคม ทั้งในส่วนผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในเครือบริษัทนีโอฯ และเงินช่วยเหลือ ให้แก่โรงพยาบาล และชุมชน รวมถึงกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ ไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 100 แห่ง โดยทำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ในปี 2563 บริษัทร่วมสนับสนุนความช่วยเหลือให้สถานพยาบาล โรงพยาบาลสนามและองค์กรต่าง ๆ ยอดบริจาคเงินและผลิตภัณฑ์ทั้งสิ้น 7 ล้านบาท และในปี 2564 ตั้งแต่เดือนมกราคม-กรกฎาคม ร่วมบริจาคเงินและผลิตภัณฑ์ทั้งสิ้น 13 ล้านบาท
โดยแบรนด์ ดีนี่ ไฟน์ไลน์ และ สมาร์ท ได้ทำโครงการร่วมกับเพจอีจัน สนับสนุน “กล่องกำลังใจ” ซึ่งบรรจุผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นในยุค New Normal ของเครือ นีโอ คอร์ปอเรท ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 นอกจากนี้ แบรนด์ สมาร์ท ยังร่วมนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สูตรแอนตี้แบคทีเรียบริจาคเพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่รับผลกระทบจากโควิด ภายใต้โครงการ “เด็กแรกเกิดต้องรอด” ให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก ทั้งนี้ นีโอ คอร์ปอเรท ยังมีแผนที่จะช่วยเหลือสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของมาตรการการจัดการในสถานการณ์โควิดนี้ ทางกลุ่ม บริษัทฯ มีมาตรการการจัดการที่เข้มข้น ในแง่บุคลากร รวมเพื่อนร่วมงานและบุคคลภายนอกที่จำเป็นต้องมาติดต่อ โดยมีการคัดกรองก่อนเข้าออกบริษัท ตรวจวัดอุณหภูมิ สอบถามข้อมูล มีการฆ่าเชื้อก่อนเข้าพื้นที่ จัดพื้นที่รักษาระยะห่างอย่างเหมาะสม รวมไปถึงการมอบชุดดูแลสุขอนามัยอย่างเพียงพอให้กับผู้ร่วมงานทุกคน
ในส่วนพื้นที่การปฏิบัติงาน นอกจากการรักษาสุขอนามัยพื้นฐานในยุค New Normal แล้ว ในกระบวนการผลิต ยังมีการใช้นวัตกรรมหุ่นยนต์ (Robotic system) เพื่อลดการสัมผัส ฉีดพ่นฆ่าเชื้อในทุกขั้นตอนจนไปถึงการจัดเก็บสินค้าของคลังสินค้า ซึ่งใช้ระบบนวัตกรรมด้านการจัดเก็บและการจ่ายสินค้าอัตโนมัติ Automated Storage and Retrieval System (AS/RS) ระบบที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด ติด 1 ใน 3 ที่บริษัทชั้นนำทั่วโลกเลือกใช้ นอกจากนี้คลังสินค้าของบริษัท ยังใช้มาตรการเข้มข้นขั้นสูงสุดกับการจัดส่งสินค้าออกสู่ร้านค้า เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการขนส่งสินค้ามีความมั่นใจในความปลอดภัยกับมาตรฐานของบริษัท
ส่วนมาตรฐานการผลิตระดับสากล พิสูจน์ได้จากรางวัลรับรองมากมาย ได้แก่ มาตรฐาน ISO 9001:2015, ISO 14001:2015, Asean Cosmetic GMP, Thailand Trust mark, Green Industry Level 3, GMP วัตถุอันตราย, GMP เครื่องสำอาง
บริษัทฯ ยังกำหนดนโยบายสร้างจิตสำนึกการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด โดยให้ผู้ร่วมงาน Work from Home (WFH) รณรงค์ขอความร่วมมือ งดออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็น งดเดินทางไปต่างจังหวัด และมีการจัดการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบ Rapid
Antigen Test เป็นประจำ รวมถึงจัดสวัสดิการในเรื่องการประกันโควิด-19 ด้วย