นีโอ คอร์ปอเรท เปิดเส้นทางความสำเร็จ “ดีนี่” ครองใจคุณแม่นับล้าน ขึ้นแท่น “อับดับ 1” ตลาดสินค้าเด็ก ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 26% พร้อมเดินหน้าฝ่าปัจจัยลบ สร้างการเติบโตกว่า 6 % ในปีที่ผ่านมา
ศิริสุภา อาจสัญจร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด เปิดเผยว่า บริษัททำตลาดสินค้าอุปโภคตอบสนองความต้องการกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคเป็นเวลายาวนานถึง 33 ปี มีแบรนด์และสินค้าที่อยู่เคียงข้างชาวไทยอย่างหลากหลาย เช่น ไฟน์ไลน์ ดีนี่ ทรอส บีไนซ์ และโทมิ เป็นต้น ทั้งนี้ ปี 2564 ที่ผ่านมา “ดีนี่” (D-nee) หนึ่งในแบรนด์สำคัญของบริษัทสามารถสร้างผลงานการเติบโตอย่างโดดเด่น ครองใจคุณแม่นับล้าน จนก้าวเป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 ในตลาดสินค้าเด็ก ด้วยการครองส่วนแบ่งทางการตลาด 26% เพิ่มจาก 23% ถือเป็นผลงานที่น่าพึงพอใจ ท่ามกลางปัจจัยลบที่เกิดขึ้นมากมาย สำหรับกุญแจสำคัญที่ทำให้แบรนด์ดีนี่ ประสบความสำเร็จ เกิดจากความมุ่งมั่นของบริษัทในการผลิตสินค้าคุณภาพตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มคุณพ่อคุณแม่ที่ซื้อสินค้าเพื่อดูแลลูกน้อย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง และเพิ่มสินค้าใหม่เพื่อเป็นตัวช่วยในการดูแลเด็ก ไม่เพียงเท่านี้ ยังช่วยให้แบรนด์สามารถขยายฐานผู้บริโภคให้กว้างขวางขึ้นได้อีกด้วย เช่น จากสินค้าเจาะกลุ่มเด็กแรกเกิด (Baby) ไปสู่เด็กที่โตขึ้นตามวัยของลูกน้อย เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้าและปรับผ้านุ่มสูตรเข้มข้นสำหรับเด็ก แบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในตลาด รวมถึงการออกสินค้าใหม่ในกลุ่มเครื่องใช้ส่วนบุคคล ทั้งอาบน้ำ แป้ง โลชั่น ฯลฯ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายวัย Preteen หรือช่วงก่อนเข้าวัยรุ่น เป็นต้น “เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนสินค้าในตลาดมีตัวเลือกเพิ่มขึ้น พฤติกรรมผู้บริโภคไม่เหมือนเดิม พ่อแม่ใส่ใจในการเลือกซื้อสินค้าให้ลูกน้อยมากขึ้น บริษัทต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การทำตลาดให้สอดคล้องสถานการณ์ โดยการออกสินค้าที่ผ่านการปรับปรุงและพัฒนาเป็นอย่างดี เพื่อตอบโจทย์ตามความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอร์แกนิคที่อ่อนโยนจากธรรมชาติอย่างดีนี่ ออร์แกนิค ซากุระ ซึ่งปรับเป็นสูตร 100% ออร์แกนิค” นอกจากนี้ บริษัทมีการทำตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ให้ครองใจผู้บริโภค ซึ่งข้อมูลจากคันทาร์ (ประเทศไทย) ระบุว่า การรับรู้แบรนด์ของดีนี่สูงสุดเป็นอันดับ 1 เมื่อเทียบกับแบรนด์สินค้าเด็กในตลาด อีกทั้งยังสามารถคว้ารางวัลแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือเวทีต่างๆ เช่น Amarin Baby & Kids Awards, theAsianparent Awards ได้อีกด้วย บริษัทยังปรับตัวในการทำตลาดให้สอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคการเสพสื่อที่เปลี่ยนไปสู่ดิจิทัลมากขึ้น เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช้เวลาดูคอนเทนท์ต่างๆ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น TikTok, Facebook, Instagram จนได้รางวัลเข้ารอบ 5 แบรนด์สุดท้ายในกลุ่มแบรนด์สินค้าแม่และเด็กที่ “ทำการตลาดดีสุดบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย” จากงานไทยแลนด์ โซเชียล อวอร์ด ขณะเดียวกันดีนี่ยังคงทำแคมเปญการตลาดแบบบูรณาการสื่อด้วยการโฆษณาทางโทรทัศน์ สื่อโฆษณานอกบ้าน และสื่อ ณ จุดขายต่างๆ ที่ขาดไม่ได้คือการขยายช่องทางจำหน่ายจากออฟไลน์เชื่อมต่อออนไลน์ ตอบไลฟ์สไตล์คุณแม่ยุคใหม่ที่นิยมช้อปปิ้งด้วยปลายนิ้วเพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย (Promotion) มอบความคุ้มค่าด้านราคาเพื่อให้คุณแม่ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น และการมีลอยัลตี้โปรแกรมให้ลูกค้าสะสมแต้มเพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ผ่านช่องทาง Line Official : DneeThailand ที่มีฐานสมาชิกกว่า 120,000 ราย และขายผ่าน E-commerce Platform ต่างๆ ภายใต้ชื่อ NeoDealDDShop และ D-nee Official Store ซึ่งมียอดเติบโตอย่างมาก ปี 2021 โตกว่า 171% สำหรับแนวทางการทำตลาดปี 2565 เพื่อรักษาการเป็นผู้นำอย่างแข็งแกร่ง บริษัทยังมุ่งมั่นนำเสนอสินค้าคุณภาพออกสู่ตลาด โดยผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ซักผ้าและปรับผ้านุ่มสูตรเข้มข้น กลุ่มผลิตภัณฑ์อาบสระสำหรับเด็กเล็ก Organic Sakura Series เป็นฮีโร่โปรดักซ์ เนื่องจากเป็นสูตรอ่อนโยน ช่วยตอบโจทย์กลุ่มคุณแม่ที่ต้องการความอ่อนโยนที่สุดให้กับลูกน้อย การใช้กลยุทธ์ความร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ ต่อยอดความแข็งแกร่ง ในส่วนของพรีเซนเตอร์ ก็ได้ใช้ตัวแทนครอบครัวรุ่นใหม่อย่าง “มิว” นิษฐา - “เซนต์” ธราภุช คูหาเปรมกิจ และ “น้องมาริน เป็นพรีเซนเตอร์ เนื่องจากเป็นครอบครัวที่มีความน่ารักสดใส อารมณ์ดี มีชีวิตชีวา สอดคล้องกับคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ ที่สำคัญทั้งคู่มีความใส่ใจในการเลือกซื้อสินค้าของใช้ให้กับลูก ถือว่าเป็นพ่อแม่ที่ทันสมัย ตรงกับกลุ่มลูกค้าของแบรนด์ อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่มีการแต่งตั้งพรีเซนเตอร์สำหรับผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำและกลุ่มผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม สูตรเข้มข้น โดยเลือกครอบครัว “ป๊อก” ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์, “มาร์กี้” ราศรี บาเล็นซิเอก้า จิราธิวัฒน์ และ น้องมิก้า-มิญ่า ซึ่งเป็นตัวแทนของครอบครัวดีนี่ได้อย่างดี จากการที่เป็น พรีเซนเตอร์ในกลุ่มเด็กเล็กมากว่า 2 ปี ซึ่งถือเป็นตัวอย่างของครอบครัวยุคใหม่ที่สนับสนุนทุกการเรียนรู้ของลูก ๆ ให้ได้เล่นสนุกในแต่ละวันอย่างเต็มที่ สำหรับภาพรวมตลาดสินค้าเด็กมีมูลค่า 5,200 ล้านบาท แนวโน้มปี 2565 อยู่ในระดับทรงตัว ไม่เติบโตหวือหวาเหมือนก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ระบาด ประกอบกับประชากรเด็กเกิดน้อยลง จึงมีผลกระทบต่อตลาด อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกคือการที่พ่อแม่ยังคงใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลลูกน้อยให้ดีที่สุด และมองหาสินค้าพรีเมียมมากขึ้น ทั้งนี้ "ตลาดสินค้าเด็กกลุ่มใหญ่สุดคือหมวดเครื่องใช้ส่วนบุคคลมีสัดส่วนประมาณ 76% ตามด้วยเครื่องใช้ในครัวเรือน 24% โดยแบรนด์ดีนี่ มีส่วนแบ่งทางการตลาดรวม 26% เพิ่มจาก 23% แบ่งตามรายสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก 71% จาก 68% เป็นเบอร์ 1 ติดต่อกันปีที่ 4 ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มเด็ก 78% จาก 71% เป็นอันดับ 1 ติดต่อกันปีที่ 3 และกลุ่มที่ใช้กับผิวพรรณก็เติบโต มีส่วนแบ่งทางการตลาด 13% เพิ่มจาก 11% เป็นต้น" “ปัจจุบันอัตราการเกิดของประชากรเด็กลดลงต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว แต่ไม่ได้กระทบกับตลาดสินค้าเด็กมากนัก เพราะพ่อแม่ยุคใหม่ยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อลูกน้อยเป็นอันดับแรก มองหาสินค้าพรีเมียม ยินดีจ่ายแพงเพื่อให้ลูกน้อยได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด” จากแผนงานดังกล่าว บริษัทตั้งเป้ายอดขายของดีนี่ในปี 2565 ไว้ที่ 3.5 พันล้านบาท โต 20% จากปี 2564 มียอดขาย 2.9 พันล้านบาท โต 10% ส่วนแผนระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้าต้องการผลักดันให้ ดีนี่เป็นผู้นำตลาดสินค้าออร์แกนิคสำหรับเด็กครอบคลุมทุกหมวดหมู่ อ่านเพิ่มเติม: กิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ BBGI เดินเกมรุกไบโอเทคไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine