ในโอกาส “70 ปี ห้างเซ็นทรัล” และความร่วมมือทางด้านธุรกิจยาวนานในการนำแบรนด์ “MUJI” จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาจัดหน่ายในประเทศ พร้อมทั้งการเปิดตัว MUJI Flagship Store แห่งแรกที่เซ็นทรัลเวิร์ด ด้วยพื้นที่กว่า 1,000 ตร.ม. ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ และนิทรรศการ “What is MUJI?”
Forbes Thailand เป็นหนึ่งในสื่อมวลชนที่ได้มีโอกาสพูดคุยช่วงสั้นกับ
Satoru Matsuzaki ประธานกรรมการผู้จัดการและตัวแทนผู้บริหาร Ryohin Keikaku Co., Ltd. ที่เดินทางมาเพื่อแสดงความยินดีในวาระครบรอบ
“70 ปี ห้างเซ็นทรัล” ถึงทิศทางและแผนการสร้างธุรกิจของ MUJI เพื่อมุ่งสู่นิยามบริษัทระดับโลก
Satoru ได้เกริ่นถึงการที่ประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและมีแนวโน้มการบริโภคผลิตภัณฑ์และบริการลดลงแต่สำหรับแบรนด์ MUJI นั้นยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดและยังมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งในหลายปีที่ผ่านมาการขยายสาขาของแบรนด์ MUJI ภายในประเทศคงอยู่ที่ราว 15-20 สาขาต่อปี โดยระหว่างปี 2017–2020 สิ่งที่จะเกิดขึ้นสำหรับการขยายสาขาในประเทศญี่ปุ่นคือการขยายพื้นที่ภายในร้านเดิมที่มีพื้นที่ต่อสาขาราว 725 ตร.ม.จะถูกขยายให้มีพื้นที่ 1,700 ตร.ม. ในอนาคตการเปิดสาขาใหม่ภายในประเทศญี่ปุ่นของ MUJI จะมีพื้นที่ 1,700 ตร.ม. โดยภายในปี 2020 MUJI ตั้งเป้าหมายสร้างสาขาที่มีพื้นที่ 1,700 ตร.ม. ให้ได้ 100 สาขาเป็นอย่างต่ำ
โดยปัจจัยสำคัญในการขยายพื้นที่เนื่องจากจำนวนผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการพัฒนานวัตกรรมของ MUJI ที่มีเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ภายในบ้านและสำนักงาน เฟอร์นิเจอร์ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทางด้านสุขภาพและความงามที่เพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนราว 16% ของจำนวนผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
Satoru กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การยกระดับคุณภาพสินค้าของ MUJI ยังคงรูปแบบสินค้าที่เรียบง่ายและราคาสัมผัสได้ สามารถหาซื้อได้ง่ายเพื่อการใช้งานได้ในชีวิตประจำวันสำหรับทุกเพศทุกวัย สินค้าบางอย่างเป็นที่ชื่นชอบ แต่สินค้าบางอย่างจำเป็นต้องพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์ในการขาย
ในทุกๆ ปี MUJI จึบทุ่มงบประมาณราว 1 หมื่นล้านเยนเป็นงบการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การเปิดสาขาใหม่ๆ ซึ่งในงบประมาณราว 1 หมื่นล้านเยน MUJI ทุ่มงบประมาณกว่า 4 พันล้านเยนไปลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาสินค้าและบริการ อาทิ แอพพลิเคชั่น เพื่อเป็นช่องทางสำหรับลูกค้าในการส่งข้อติชมส่งข้อร้องเรียนเพื่อปรับปรุงสินค้าให้ดีขึ้น รวมไปถึงการปรับปรุงระบบบริหารจัดการเพื่อสร้างการทำงานในองค์กรระดับโลกที่เรียบง่าย
วางรากฐานสู่ Global Company
แบรนด์ “MUJI” วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1980 ก่อนประสบความสำเร็จและเปิดสาขาแรกอีก 3 ปีต่อมา Satoru เผยว่า Muji อีกมีความตั้งใจผลิตสินค้าเพื่อคนทั้งโลกและเป็นเป้าหมายสูงสุดของกลุ่มผู้ก่อตั้งบริษัท ดังนั้น ปี 1991 MUJI สาขาลอนดอน จึงถึงกำหนดขึ้นเป็นสาขาแรกนอกประเทศญี่ปุ่นก่อนขยายสาขาต่างๆ ไปทั่วโลก
“ถ้าขายสินค้าแค่ภายในประเทศบริษัทอาจไม่ประสบความสำเร็จ เราจึงมองว่าต้องทำอย่างไรถือการเป็นผู้เล่นระดับโลกที่สามารถอยู่ที่ไหนก็ได้ในโลกใบนี้และต้องสร้างตลาดให้ได้” Satoru Matsuzaki กล่าวและเผยว่าภายในปี 2020 บริษัท Ryohin Keikaku ปรับระบบการทำงานที่สร้างขึ้นมาใหม่เพื่อสร้างมาตรฐานการบริหารเดียวกันจากทั่วมุมโลก เขาได้เสริมถึงมุมมองของตนที่อยากให้ทุกบริษัททั่วโลกที่
บริษัท Ryohin Keikaku เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ มีหลักการทำงานเดียวกัน มีความเข้าใจองค์กรแบบเดียว
“สิ่งที่มูจิมองเรื่องการบริหารธุรกิจแค่ในญี่ปุ่นอย่างเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้ เรานำหลักในการบริหารการจัดการ การตลาด แบบเรียบง่ายไม่ซับซ้อนและสร้างระบบใหม่เพื่อเป็นการทำงานสำหรับพนักงานในทั่วโลก”
ปัจจุบัน MUJI มีสาขาทั่วโลกรวม 855 สาขา โดยเป็นสัดส่วนภายในประเทศญี่ปุ่น 420 สาขา สาขาต่างประเทศ 435 สาขา สำหรับแผนตั้งเป้าขยายสาขาราว 30-50 สาขาต่อปี ในต่างประเทศ กว่าครั้งหนึ่งของแผนการขยายสาขาอยู่ที่จีนราว 30 สาขา
สำหรับ
MUJI ในประเทศไทย ปี 2006 MUJI เข้ามาทำตลาดในลักษณะแฟรนไชส์โดยมีห้างเซ็นทรัลเป็นผู้ซื้อแฟรนไชส์เข้ามา จนกระทั่ง ปี 2013 MUJI และ ห้างเซ็นทรัล ได้ร่วมทำข้อตกลงในการร่วมลงทุน Joint Venture ตั้งเป็นบริษัทใหม่เพื่อร่วมกันบริหารการทำงานในประเทศไทย โดยปัจจุบัน MUJI มีสาขาในประเทศไทยมีทั้งหมด 15 แห่ง Satoru เผยว่าสำหรับประเทศไทยยังมีโอกาสในการเติบโตของ MUJI อีกมาก โดยตั้งเป้าเพิ่มสาขาราว 2-3 แห่งต่อปี
Satoru ได้ทิ้งท้ายแนวคิดของ MUJI ที่ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนที่ต้องการมองหาคุณสมบัติการใช้งานและคุณภาพ มากกว่าค่านิยมจากแบรนด์ MUJI เองไม่ได้ทำสินค้ามาเพื่อเฉพาะประเทศใด้ประเทศหนึ่ง สินค้าของเราที่วางขายเป็นสินค้าสำหรับคนทั่วโลกทำให้ต้นทุนต่างๆ ลดลง ทำให้เราสามารถกำหนดราคาที่เหมาะสมและไม่แพงหรือที่เรียกกันว่า
“ของดีราคาเหมาะสม” ได้ ในประเทศญี่ปุ่นลูกค้าต่างรับรู้ว่าสินค้าของ MUJI นั้นราคาที่สามารถซื้อหาได้และเป็นสินค้าคุณภาพ ซึ่งอยากให้ลูกค้าทั่วโลกมอง MUJI เป็นมากกว่าแบรนด์พรีเมี่ยม
ปัจจุบันสินค้าบางชิ้นราคาแพงกว่าที่ประเทศราว 10-20% ซึ่งมาจากการขนส่งและอัตราภาษีของประเทศนั้นๆ แต่ภายในปี 2020 Satoru หวังว่าสินค้าในบางประเภทจะมีราคาใกล้เคียงประเทศญี่ปุ่นมากกว่าเดิม สำหรับหมวดหมู่ของสินค้าขายใน MUJI นั้น อันดับหนึ่งคือกลุ่มเครื่องใช้ในสำนักงาน ส่วนกลุ่มที่สองคือ สินค้าความสวยงามและบำรุงผิว ในปี 2559 MUJI มีรายได้รวมทั่วโลกราว 3.325 แสนล้านเยน ซึ่งเป็นการเติบโตราว 10 %