บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ร่วมกับพันธมิตร ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประเทศไทย ประกาศใช้รถขนส่งพลังงานไฟฟ้า (EV) จากศูนย์กระจายสินค้าบิ๊กซีวังน้อยขนส่งสินค้าไปยังศูนย์การค้าบิ๊กซีในกรุงเทพฯ พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2050
อัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี กล่าวว่า “กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชนและสังคม โดยล่าสุดได้ร่วมกับพันธมิตร ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประเทศไทย ผู้นำตลาดระดับโลกด้านโลจิสติกส์ ในการนำรถพลังงานไฟฟ้า (EV) เต็มรูปแบบมาใช้ขนส่งและกระจายสินค้าเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
มุ่งเน้นการเป็นองค์กร Green Logistics เดินหน้าสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เหลือศูนย์ (Net Zero) ของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ในอีก 28 ปีข้างหน้า หรือปี 2050"
ทั้งนี้ ทางบิ๊กซีจะนำร่องด้วยการใช้รถพลังงานไฟฟ้าสำหรับการขนส่งสินค้าจากศูนย์กระจายสินค้าบิ๊กซีวังน้อยไปยังศูนย์การค้าบิ๊กซีในกรุงเทพฯ ก่อน 3 สาขา ได้แก่ สะพานควาย, รัชดา และราชดำริ พร้อมวางแผนขยายเส้นทางและจำนวนรถเพิ่มเติมในอนาคตแบบระยะยาวทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
สตีฟ วอล์กเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีเอชแอล ซัพพลายเชน กลุ่มธุรกิจประเทศไทย กล่าวว่า “รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับบิ๊กซีในการดำเนินงานบนค่านิยมและวิสัยทัศน์ร่วมกัน เพื่อการปกป้องโลกและยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คน โดยตลอดระยะเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา เราได้สนับสนุนการดำเนินธุรกิจของบิ๊กซีและยังคงขนส่งสินค้าของบิ๊กซีไปสู่สาขากว่า 1,800 สาขาทั่วประเทศในปัจจุบัน
เราหวังว่าจะช่วยส่งเสริมการดำเนินงานด้านซัพพลายเชนของบิ๊กซี ผ่านการมอบโซลูชันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยยิ่งขึ้นสู่เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน”
สำหรับรถขนส่งพลังงานไฟฟ้าที่นำมาใช้ในครั้งนี้จะถูกบริหารจัดการโดยศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการด้านการขนส่งของดีเอชแอล (DHL Connected Control Tower) ซึ่งติดตั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากมาย อาทิ Paragon Route Optimization System, Transport Management System, Telematics, และ MySupplyChain digital platform เพื่อให้ระบบการขนส่งสินค้ามีประสิทธิภาพสูงสุด
สก็อตต์ เจอร์รี รองประธานกรรมการฝ่ายการขนส่ง ดีเอชแอล ซัพพลายเชน กลุ่มธุรกิจประเทศไทย กล่าวว่า “ทีมงานขนส่งของเราพยายามแสวงหาแนวทางใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องช่วยให้ลูกค้าสามารถลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนให้น้อยลง ซึ่งนอกจากการใช้รถขนส่งพลังงานไฟฟ้าแล้ว เรายังวางแผนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ Trailar บนรถเหล่านี้และใช้หัวเชื้อเติมแต่งสำหรับรถขนส่งเครื่องยนต์สันดาปภายในเพื่อช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนเพิ่มเติม
โดยเราหวังว่าจะสามารถสร้างผลลัพธ์ให้ครอบคลุมมากขึ้นในอนาคต ผ่านการเพิ่มนวัตกรรมต่างๆ เพื่อนำมาใช้กับยานพาหนะขนส่งทั้งของเราและของผู้รับเหมารายย่อยให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป”
อ่านเพิ่มเติม: จับออกซิเจนใส่กระป๋องขาย นวัตกรรมคนไทยสู่ตลาดโลก
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine