ซิซซา กรุ๊ป เผยภูเก็ตยังเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว ส่งผลภาครัฐ-เอกชน ลงทุนระบบสาธารณูปโภค-ธุรกิจ หวังดึงเม็ดเงินสะพัด โดยเฉพาะการลงทุนรูปแบบ IP มั่นใจ “วินแดม แกรนด์ ในหาน บีช ภูเก็ต” เป็นโครงการเดียวที่มีความชัดเจนด้านการก่อสร้างและโครงการแล้วเสร็จเปิดให้บริการแล้วประมาณ 60% ล่าสุดเตรียมรุกการตลาดปิดท้ายครึ่งปีแรก 2566 เอาใจนักลงทุนรายย่อย
ธรา รุ่งแสงสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ สายงานการพานิชย์ บริษัท ซิซซา กรุ๊ป ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนรูปแบบ “Investment Property” (IP) ชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการที่ภูเก็ตถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ส่งผลให้มีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคเพื่ออำนวยความสะดวก ประชากรในพื้นที่และนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระบบรถไฟฟ้ารางเบา (Light Rail Transit หรือ Tramway)
ที่แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติจังหวัดภูเก็ต ห้าแยกฉลอง ระยะทาง 42.0 กิโลเมตร มีทั้งหมด 21 สถานี ระยะที่ 2 ส่วนต่อขยายจากจุดตัดทางหลวง 402 และ 4026 เพื่อเชื่อมต่อกับระบบรถไฟสถานีรถไฟท่านุ่น ระยะทาง 16.5 กิโลเมตร
มีทั้งหมด 3 สถานี โดยมีรวมทั้งหมด 24 สถานี
นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ “คาร์นิวัลเมจิก ภูเก็ต” (Carnival Magic Phuket) ธีมปาร์คแห่งใหม่ของภูเก็ตที่ผสมผสานวัฒนธรรมความสนุกของเมืองไทย รวมถึงการเร่งทำให้ภูเก็ตเป็นเมืองแห่ง IoT (Internet of Things) เช่น ระบบเน็ตเวิร์กเพื่อควบคุม
การเปิด-ปิดไฟ ในพื้นที่สาธารณะ การเชื่อมต่อข้อมูล มอบซิมการ์ดให้แก่นักท่องเที่ยว โครงการพัฒนามากมายเหล่านี้ จะยิ่งทำให้ภูเก็ตเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนและนักท่องเที่ยวมากขึ้น และจะส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมมีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งหลังจากที่วิกฤติโควิด-19 คลี่คลายลง ได้มีนักท่องเที่ยวและนักลงทุนกลับมาภูเก็ตเป็นจำนวนมาก แต่ก็ทำให้นักลงทุนต่างได้รับบทเรียนว่าหากจะลงทุนอสังหาฯประเภท IP จะต้องมีการศึกษาข้อมูล และธุรกิจที่จะเข้าไปลงทุนให้ชัดเจน ว่ามีความคืบหน้าด้านการก่อสร้างและการลงทุนมากน้อยเพียงใด รวมไปถึงผู้บริหารสินทรัพย์คือกลุ่มใด
โดยการลงทุนในรูปแบบ IP ของซิซซา กรุ๊ป ถือว่าโครงการ “วินแดม แกรนด์ ในหาน บีช ภูเก็ต” (Wyndham Grand Nai Harn Beach Phuket) มีความแตกต่างและได้เปรียบจากผู้ประกอบการรายอื่น เพราะมีการดำเนินธุรกิจจริง สามารถสร้างรายได้และเปิดโอกาสให้
นักลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนมากขึ้น ด้วยการจัดพอร์ตขยายกลุ่มตลาดให้ใหญ่มากขึ้น โดยลงทุนเริ่มต้นเพียง 500,000 บาท* ก็สามารถเป็นเจ้าของร่วมในสินทรัพย์ได้
ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน เพราะเป็นโครงการเดียวที่มีความชัดเจนด้านการก่อสร้างและโครงการแล้วเสร็จเปิดให้บริการแล้วประมาณ 60% ขณะที่บางโครงการของผู้ประกอบการรายอื่นยังอยู่ในระหว่างสรุปข้อมูลการลงทุน และแบรนด์ที่จะเข้ามาดำเนินการบริหาร
อ่านเพิ่มเติม: การจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีญี่ปุ่น ประจำปี 2023
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine
