เขย่าองค์กรอีกครั้ง! ยักษ์ใหญ่วงการแอพพลิเคชั่นเรียกรถ Uber ปลดพนักงาน 400 คนฝ่ายการตลาด หวังลดต้นทุน หลังไตรมาส 1/62 ขาดทุนหนัก
Uber ปลดพนักงาน ราว 1 ใน 3 ของฝ่ายการตลาดที่มีอยู่ 1,200 คน บนความพยายามในการลดต้นทุน และปรับแนวทางการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกที่ไม่สวยงามนัก หลังการเปิดขายหุ้นแก่สามัญชนเป็นครั้งแรก (IPO) นั้นราคาหุ้นร่วงลงทันที และผลการดำเนินงานไตรมาสแรกที่ขาดทุนไป 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
โดยข่าวการปลดพนักงานของ Uber เผยแพร่ครั้งแรกโดย New York Times ซึ่งระบุว่าสาเหตุหลักมาจากการที่บริษัทต้องเผชิญกับแรงกดดันเรื่องการเงิน หลังการเปิดขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ New York เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาต้องพบกับความเจ็บปวด
Uber ระบุว่า การปลดพนักงานราว 400 คนครั้งนี้ เป็นการปลดพนักงานฝ่ายการตลาดในสำนักงาน 75 แห่งทั่วโลก โดยจำนวนพนักงานทั่วโลกของ Uber เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2562 อยู่ที่ 24,494 คน
Jill Hazelbaker รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดและกิจการสาธารณะ และ Dara Khosrowshahi ซีอีโอ Uber กล่าวกับพนักงานเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ทีมการตลาดจะต้องมีโครงสร้างแบบรวมศูนย์มากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงแบรนด์ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ในภูมิภาคต่างๆ
ขณะที่ CNN Business ในอีเมล์สอบถาม Khosrowshahi ถึงกรณีดังกล่าว ซึ่งเขาระบุว่า “การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการตลาดกลายเป็นสิ่งสำคัญน้อยลงสำหรับ Uber แต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม เราสร้างการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เพราะเราต้องการนำเสนอวิสัยทัศน์ที่ทรงพลัง, เป็นเอกภาพ และมีพลวัตต่อโลก”
สำหรับฝ่ายการตลาดที่ได้รับการจัดระเบียบใหม่จะอยู่ภายใต้การนำของ Mike Strickman รองประธานฝ่ายการตลาดเชิงประสิทธิภาพ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาทำงานที่ TripAdvisor และเข้ามาทำงานกับ Uber เมื่อ 1 เดือนก่อน และคาดว่าอีกไม่นานเขาจะได้เป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดทั่วโลก
ทั้งนี้ Strickman จะทำหน้าที่ในการดูแลการตลาดเชิงประสิทธิภาพ, ระบบ CRM และการวิเคราะห์ ขณะที่ผู้บริหารฝ่ายการตลาดโลกจะดูแลหัวหน้าฝ่ายการตลาดด้านต่างๆ ทั้งผลิตภัณฑ์, แบรนด์, UberEats, B2B, การวิจัย, การวางแผน และด้านครีเอทีฟ
Khosrowshahi ระบุในอีเมล์ที่ส่งให้กับพนักงานว่า “หลายๆ ทีมของ Uber นั้นมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งทำให้เกิดการทำงานที่ทับซ้อนกัน ส่งผลให้เกิดการตัดสินใจที่ไม่ชัดเจน และสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ในระดับปานกลางเท่านั้น แต่ด้วยความเป็นบริษัท เราสามารถทำได้มากกว่านี้เพื่อรักษามาตรฐานที่สูง และคาดหวังในตัวเองและคนอื่นๆ มากขึ้น”
รายงานผลประกอบการของ Uber ในฐานะบริษัทที่เพิ่งเข้าตลาดหุ้น ระบุว่า รายได้ไตรมาส 1/2562 อยู่ที่ 3.1 พันล้านเหรียญ เติบโต 20% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน ขณะที่รายรับสุทธิก่อนหักค่าใช้จ่าย (gross booking) ในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 34% มาอยู่ที่ 1.46 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งเป็นผลมาจาก Uber Eats ที่เติบโตต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรก Uber กลับต้องพบกับการขาดทุนจากการดำเนินงานถึง 1.01 พันล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 116% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
การปรับโครงสร้างครั้งนี้ของ Uber ไม่ใช่แรงสั่นสะเทือนครั้งแรกในปีนี้ขององค์กร โดยเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Barney Harford ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และ Rebecca Messina ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด ได้ก้าวลงจากตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นการเขย่าองค์กรที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดได้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น
โดยในขณะนั้น Khosrowshahi อธิบายในอีเมล์ที่ส่งถึงพนักงานว่า การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจากการตัดสินใจของเขาที่ต้องการควบคุมส่วนหลักๆ ของธุรกิจมากขึ้น ซึ่งเขาต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารงานในแต่ละวันของธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหลักของบริษัทอย่าง Rides และ Eats
ขณะเดียวกัน Khosrowshahi ยังระบุอีกว่า การลงจากตำแหน่งของ Messina เป็นการตอบสนองต่อการตัดสินใจของเขาที่ต้องการควบรวมทีมการตลาด, ทีมสื่อสารองค์กร และทีมนโยบายเข้าไว้ด้วยกัน และให้ Jill Hazelbaker ที่ทำงานใน Uber มาตั้งแต่ปี 2558 เข้ามาบริหารทีมนี้
ที่มา แปลและเรียบเรียงโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creatorไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine