Deloitte เจาะใจ Gen Z และมิลเลนเนียล พบคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับ 3 คุณค่า ‘รายได้-ความหมาย-ความเป็นอยู่ที่ดี’ - Forbes Thailand

Deloitte เจาะใจ Gen Z และมิลเลนเนียล พบคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับ 3 คุณค่า ‘รายได้-ความหมาย-ความเป็นอยู่ที่ดี’

FORBES THAILAND / ADMIN
02 Jun 2025 | 09:30 AM
READ 461

คนไทยรุ่นใหม่กำลังเผชิญความเครียดเรื้อรังและต้องใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน แต่ยังมองหาความหมายของการทำงานและพยายามพัฒนาตนเองท่ามกลางอุปสรรคนานัปการ โดยทั้ง Gen Z และ Gen Y ต่างสนใจการศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษาสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก หากไม่มีกำแพงในเรื่องของคุณภาพ ค่าใช้จ่าย และโอกาสในการได้รับประสบการณ์จริงซึ่งมีจำกัด


    ดีลอยท์ ประเทศไทย เผยผลสำรวจ Deloitte Global 2025 Gen Z and Millennial Survey พบคนรุ่นใหม่ชาวไทยทั้ง Gen Z และมิลเลนเนียล (หรือ Gen Y) ให้ความสำคัญสูงสุดกับ 3 คุณค่าหลัก ได้แก่ รายได้ ความหมายของงาน และความเป็นอยู่ที่ดี


ทำความรู้จัก Trifacta คุณค่าของคนรุ่นใหม่

    Trifacta คือ 3 คุณค่าหลักที่ส่งผลต่อความสุขของคนรุ่นใหม่ทั่วโลก ได้แก่ รายได้ ความหมายของงาน และความเป็นอยู่ที่ดี ผลสำรวจพบว่า

     • รายได้มีความเชื่อมโยงกับระดับความสุขมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยสูงถึง 64%

     • ความเป็นอยู่ที่ดีและความหมายของงาน มีค่าเฉลี่ยใกล้เคียงกันที่ประมาณ 56%

     • คนในกลุ่ม Gen Y ให้ความสำคัญกับ Trifacta มากกว่า Gen Z อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจสะท้อนถึงประสบการณ์ชีวิตและการทำงานที่มากกว่า

    เมื่อพิจารณาลงลึกด้านการเงิน จะเห็นว่า ‘ค่าครองชีพ’ ยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้คนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยความกังวลสูงสุด 3 ข้อที่ทั้ง  Gen Z และ Gen Y ในประเทศไทยเห็นตรงกัน ได้แก่ ค่าครองชีพ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความปลอดภัยทางไซเบอร์ (ตามลำกับ) รองลงมาจึงเป็น สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ตามด้วยการดูแลสุขภาพ

    ผลสำรวจของดีลอยท์พบมุมมองเกี่ยวกับความมั่นคงทางการเงินของคนรุ่นใหม่ที่น่าสนใจ ดังนี้

     • ราว 63% ของคนไทยระบุว่า ตนเองใช้ชีวิตแบบ ‘เดือนชนเดือน’ (ไม่เหลือให้ออม) สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 52%

     • ราว 25% ระบุว่าตนเองยังต้องดิ้นรนในการจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดในแต่ละเดือน

     • ราว 27% เห็นว่าอาจไม่สามารถเกษียณได้โดยมีความมั่นคงทางการเงิน

     • คนรุ่นใหม่ไทยยังคงให้ความสำคัญกับประเด็นทางการเงินในระยะสั้น มากกว่าการวางแผนระยะยาวเพื่ออนาคต เช่น การออมเพื่อเกษียณอายุ

     • ราว 29% เห็นด้วยกับอาชีพเสริม ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 14%

    กว่าครึ่งของทั้ง Gen Z และ Gen Y ยังระบุว่า พวกเขาขอปฏิเสธที่จะทำงานกับนายจ้างที่ดำเนินธุรกิจไม่สอดคล้องกับค่านิยมส่วนตัว โดย 37% ของ Gen Z และ 45% ของ Gen Y มีความยินดีที่จะลาออกจากงาน หากงานนั้นไม่สอดคล้องกับความเชื่อ หรือหลักที่ยึดถือเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต โดยตัวเลขนี้อยู่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยโลก 45%


    ประเด็นนี้สะท้อนว่าคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้นกับ ‘คุณค่าร่วม’ และภาพลักษณ์ขององค์กร องค์กรต่างๆ จึงควรตระหนักว่า ปัจจัยด้านค่านิยมและความเชื่อมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจของคนรุ่นใหม่ ทั้งในแง่ของการเลือกงานและการอยู่กับองค์กรในระยะยาว

    ทั้งนี้ คนรุ่นใหม่เกือบทั้งหมดเห็นว่า Sense of Purpose (ความรู้สึกว่าการทำงานของตนเองมีคุณค่าและเป้าหมายที่ชัดเจน) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการทำงานและคุณภาพชีวิตโดยรวม


ถึงอายุยังน้อย แต่มีร้อยเรื่องให้เครียด

    คนไทยรุ่นใหม่กว่า 1 ใน 3 ระบุว่า ตนเองรู้สึกเครียดหรือกังวลเกือบหรือแทบตลอดเวลา โดยพบว่า Gen Z มีความเครียดจากแทบทุกปัจจัยสูงกว่า Gen Y ไม่ว่าจะเป็น เรื่องอนาคตทางการเงินในระยะยาว สุขภาพส่วนตัว ภาระในบ้านหรือการดูแลครอบครัว ต่อเนื่องไปจนปัญหาการเงินในชีวิตประจำวัน ยกเว้นเพียงเรื่องสุขภาพหรือความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัวที่ Gen Y มีระดับความกังวลสูงกว่าเล็กน้อย

    มากกว่า 1 ใน 3 ของคนไทยรุ่นใหม่ยังระบุว่า งานเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่สร้างความเครียด โดยสาเหตุหลักมาจาก ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน การไม่มีเวลาเพียงพอในการทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ และการไม่รู้สึกถึงความหมายหรือเป้าหมายในสิ่งที่ทำ

    อาจกล่าวได้ว่า Gen Y สามารถรับมือกับแรงกดดันในที่ทำงานได้มากกว่า ขณะเดียวกัน ยังพบว่า หลายองค์กรทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านประสิทธิภาพการบริหารจัดการ แม้พนักงานจะทำงานเป็นเวลานาน แต่กลับไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้

    อย่างไรก็ตาม คนไทยรุ่นใหม่ประมาณ 80% เชื่อว่านายจ้างให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของพนักงานอย่างจริงจัง ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นว่าองค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยมีการปรับตัว ให้การสนับสนุนด้านสุขภาพจิตมากขึ้น และพนักงานสามารถรับรู้ได้ถึงความตั้งใจดังกล่าว


Gen AI ตัวช่วยลดภาระงานและเพิ่มคุณภาพชีวิต

    ประมาณ 85% ของทั้ง Gen Z และ Gen Y ในประเทศไทย ระบุว่าเคยใช้ Generative AI หรือเรียกสั้นๆ ว่า Gen AI ช่วยในการทำงาน แม้ว่า Gen Z จะใช้ในกิจกรรมประจำวันมากกว่า แต่ Gen Y มีแนวโน้มในการใช้งานที่หลากหลายกว่า ซึ่ง 3 อันดับแรกที่ทั้ง 2 กลุ่มนิยมใช้งานมากที่สุด ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูล การออกแบบเชิงสร้างสรรค์ และการสร้างเนื้อหา

    1 ใน 4 ของคนทั้ง 2 กลุ่ม ได้รับการฝึกอบรมการใช้ Gen AI แล้ว ขณะที่อีกราวครึ่งหนึ่งหรือมากกว่า วางแผนจะเข้ารับการอบรมภายใน 12 เดือนข้างหน้า มุมมองของคนรุ่นใหม่ที่มีต่อเทคโนโลยีนี้ มีทั้งแง่บวกและลบ โดยราว 90% เชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยลดเวลาในการทำงาน ทำให้เกิดสมดุลชีวิตที่ดีขึ้น ขณะที่มุมมองด้านลบมีอยู่เช่นกัน โดยประมาณ 3 ใน 4 กังวลว่าอาจทำให้งานน้อยลง เน้นให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนา Soft Skills ที่ Gen AI ไม่อาจทดแทนได้ เช่น การทำงานร่วมกับผู้อื่น การสื่อสาร และการตัดสินใจ

    ในภาพรวมนั้น องค์กรต่างๆ ยังเผชิญกับความท้าทายในการบริหารจัดการการใช้งานเทคโนโลยีใหม่นี้ ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่รู้สึกว่างานของตนถูกลดทอนคุณค่า


ถึงจะต่างจากที่เคยคิดไว้ ก็ยังตั้งใจเติบโต

    ประมาณ 10% ของ Gen Z และ 20% ของ Gen Y ในประเทศไทยไม่ได้ทำงานในสายอาชีพที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก โดยเหตุผลหลักของการเปลี่ยนสายอาชีพ คือ ต้องการรายได้ที่ดีกว่า ซึ่งพบในกลุ่ม Gen Y สูงถึง 60% เมื่อเทียบกับ Gen Z ที่ 30% โดยเป้าหมายด้านอาชีพ 3 อันดับแรกที่คนไทยรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ ได้แก่ การบรรลุอิสรภาพทางการเงิน การเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และการรักษาสมดุลระหว่างงานกับชีวิต

     • คนไทยรุ่นใหม่เกือบ 85% ระบุว่าตนเองมีการพัฒนาทักษะเพื่อความก้าวหน้าในสายอาชีพอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

     • Gen Y อาศัยการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงมากที่สุด ส่วน Gen Z เน้นเรียนรู้ร่วมกับเพื่อนร่วมงาน ขอคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ เวิร์คช็อป สัมมนา และโปรแกรมฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ

     • ทักษะที่ชาวไทย Gen Z ให้ความสำคัญมากกว่า Gen Y อย่างชัดเจน ได้แก่ ทักษะด้านดิจิทัล ทักษะการจัดการเวลา และทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ส่วน Gen Y ให้ความสำคัญกับความรู้เฉพาะทางมากกว่า

     • เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจระดับโลก ทั้ง Gen Z และ Gen Y ต่างเห็นตรงกันว่า ทักษะการจัดการเวลาและความรู้เฉพาะทางตามอุตสาหกรรม เป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตในสายอาชีพ


คนรุ่นใหม่ใฝ่เรียนรู้ ติดที่คุณภาพกับค่าใช้จ่าย

    คนรุ่นใหม่ในประเทศไทยยังคงให้ความสำคัญกับการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกซึ่งอยู่ที่ประมาณ 31% โดยมีเพียง 16% เท่านั้นที่ระบุว่าไม่ได้วางแผนศึกษาต่อ โดยเหตุผลหลัก 3 ข้อแรกของผู้ที่ไม่ศึกษาต่อ ได้แก่ สถานการณ์ครอบครัวหรือส่วนตัว ข้อจำกัดด้านการเงิน และความต้องการเรียนรู้ในรูปแบบที่ยืดหยุ่นสอดคล้องกับเงื่อนไขของตนเอง

    ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามเรื่องความกังวลของคนรุ่นใหม่ในประเทศไทยที่มีต่อระบบการศึกษานั้น มุ่งไปที่ประเด็นคุณภาพการศึกษาและค่าใช้จ่ายในการเรียนสูง ซึ่งเป็นความกังวลที่นำหน้าความกังวลด้านอื่นๆ อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการได้รับประสบการณ์จริงที่จำกัด ความสอดคล้องของหลักสูตรกับความต้องการของตลาดแรงงาน และทางเลือกการเรียนรู้ที่ยังขาดความยืดหยุ่น

    แนวทางที่นายจ้างสามารถสนับสนุนการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ได้ มี 3 แนวทางหลัก ได้แก่

    1) การสร้างโปรแกรมการเรียนรู้ภายในองค์กรโดยเฉพาะ พร้อมจัดสรรเวลาให้พนักงานเรียนรู้ได้โดยไม่กระทบกับภาระหน้าที่

    2) การอำนวยความสะดวกในการแบ่งปันความรู้ระหว่างเพื่อนร่วมงาน

    3) การเปิดโอกาสให้หมุนเวียนงานหรือเข้าร่วมฝึกงาน

    กัญญ์ทิพา เครือแก้ว ณ ลำพูน ผู้จัดการอาวุโส แผนก Organization Transformation ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ทั้ง Gen Z และ Gen Y ถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร องค์กรใดที่สามารถสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมและคุณค่าที่สอดคล้องกับคนรุ่นใหม่ได้ดีกว่า จะสามารถดึงดูดหรือส่งเสริมให้พนักงานทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะในยุคที่ Gen AI กำลังเข้ามามีอิทธิพลกับวิธีการทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ”

    ด้าน ดร.โชดก ปัญญาวรานันท์ ผู้จัดการอาวุโส แผนก Growth ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “จากที่ได้มีโอกาสติดตามรายงานฉบับนี้มาติดต่อกันเป็นปีที่ 3 จะเห็นว่าข้อมูลในแต่ละปีมีทิศทางที่ตอบคำถามด้วยตัวเองได้อย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ส่วนตัวแล้ว ต้องการเห็นการพูดคุยกันระหว่างภาคการศึกษาและภาคธุรกิจที่จะนำไปสู่การลงทุนทางการศึกษาและการพัฒนาบุคลากรที่ตอบโจทย์มากกว่านี้”


ภาพ: Deloitte


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เจาะพฤติกรรม Gen Z ที่ ‘ช็อปฉ่ำ’ เน้นความคุ้มค่าเหนือราคา 40% มอง ‘ค่าส่งฟรี’ กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine