YLG เปิดสถิติทองย้อนหลัง 8 ปี ถ้าถือยาวได้ผลตอบแทน 124% - Forbes Thailand

YLG เปิดสถิติทองย้อนหลัง 8 ปี ถ้าถือยาวได้ผลตอบแทน 124%

วายแอลจีเปิดสถิติทองคำ จากปี 2559 หากถือยาว Buy and Hold ได้ผลตอบแทนสูงถึง 124% และสายออมทองทุกๆ เดือน ที่เริ่มเป็นที่แพร่หลายจนถึงปัจจุบัน ยังสร้างผลตอบแทนสูงถึง 63% พร้อมมองเทรนด์ทองคำยังเติบโตได้อีกอย่างน้อย 2 ปี หลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยอีก 2% ภายใน 2 ปี ส่งผลดอลลาร์สหรัฐให้ผลตอบแทนน้อยลง นักลงทุนหันซบทองคำ


    นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า บริการออมทองได้รับความสนใจอย่างมากในปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดทองคำที่คึกคักราคาทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องตลาดทั้งปี

    ทั้งนี้การออมทองเริ่มได้รับความสนใจในวงกว้างเมื่อปี 2559 ที่เริ่มแพร่หลายพร้อมๆ กับการพัฒนาของโลกดิจิทัล ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนทองคำได้ในหน่วยย่อย ที่เริ่มตั้งแต่การใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท ซึ่งมีรูปแบบการลงทุนทั้งแบบลงทุนด้วยตัวเองและแบบตัดระบบอัตโนมัติรายเดือนซึ่งจะเป็นการถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) จึงเป็นทางเลือกให้คนหันมาออมเงินผ่านทองคำแทนการฝากเงิน ที่ทำได้ทั้งซื้อราคาทองไทย และทองคำโลก และยังสามารถถอนออกมาเป็นทองคำหรือขายเป็นเงินสดได้ จึงเป็นการลงทุนที่สะดวก รวดเร็ว

    สำหรับการลงทุนแบบการออมทองนั้น หากนักลงทุนที่เริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 2559 ที่ราคาทองคำในตลาดโลกอยู่ที่ต่ำกว่า 1,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หากทำการออมทองทุกเดือนจนถึงปัจจุบันจะได้รับผลตอบแทนรวม 63% หรือหากถือยาว Buy and Hold ก็จะได้ผลตอบแทนสูงถึง 124% โดยคำนวนจากราคาปัจจุบันที่ทองคำอยู่ที่ประมาณ 2,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ผลตอบแทนดังกล่าวถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากการฝากเงิน

    โดยปัจจัยสนับสนุนหลักที่ทำให้ราคาทองคำปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องมาจากนโยบายการเงินของสหรัฐ โดยเฉพาะการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ที่ล่าสุดเดือน ก.ย. ปรับลดไปแล้ว 0.50% และมีแนวโน้มว่าอีกภายใน 2 ปี อาจจะลดอีก 2%

    การลดดอกเบี้ยจึงเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาถือครองทองคำโดยการละทิ้งดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การออมทองไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยที่ปรับลดลง

    อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าปัจจุบันราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นไปสูงมากเข้าใกล้ราคาเป้าหมายที่ วายแอลจีให้ไว้ที่ 2,700 – 2,750 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ แต่นักลงทุนที่อยากเข้าไปลงทุนเพื่อทำกำไรยังมีโอกาสเข้าไปได้ เนื่องจากปกติทองคำอาจจะย่อแรงก่อนที่จะเข้าถึงเป้าหมายอย่างน้อยหนึ่งครั้ง รวมถึงทองคำจะปรับขึ้นแบบสลับย่อตัว จึงมีจุดที่น่าทยอยเข้าหากทองคำปรับลดลงมาที่ 2,600, 2,610 และ 2,620 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์

    และถ้าทองคำขึ้นไปทำราคาสูงสุดที่ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หรือมากกว่านั้น แถวๆ 2,750 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หลังจากนั้น มีโอกาสที่อาจได้เห็นปรับฐานในรอบใหญ่ลมางถึง 2,350 -2,380 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนทองในประเทศอาจจะหลุด 40,000 บาทต่อบาททองคำ ไปที่ระดับ 38,000 - 39,000 บาทอต่อบาททองคำ จุดนั้นเป็นจุดที่เหมาะกับการเข้าซื้ออีกครั้ง

    สำหรับลงทุนสะสมแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน DCA (Dollar-Cost-Average) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ เพราะจะทำให้นักลงทุนสามารถสร้างวินัยการออม และเข้าถึงราคาทองได้หลากหลาย อีกทั้งปัจจุบันยังสามารถตั้งเวลาซื้อล่วงหน้าได้อีกด้วย


    

Image by freepik



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : คนไทย 30% ไม่มีเงินเก็บเพื่อเกษียณ! สมาคม TFPA จัดเวิร์กช็อป 3 กลุ่มอาชีพ หนุนคนไทยออมก่อนใช้เพื่อเกษียณ

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine