ตลท. เปิดเผยภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนเมษายน 2568 พบว่า ณ 30 เม.ย. 68 SET Index ปิดที่ 1,197.26 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.4% จากเดือนก่อนหน้า แต่จากต้นปีถึง 30 เม.ย. 2568 ปรับลดลง 14.5% ส่วนปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไปยังมองว่าจะมาจาก Thaiesgx และมาตรการรัฐที่ออกมาเพิ่มเติม
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ท่ามกลางปัจจัยจากทั่วโลกทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตลดลงมาที่ 2.8% ในปี 2568 และ 3.0% ในปี 2569 โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเทียบสกุลเงินหลัก สวนทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่ปรับตัวขึ้นในกรอบ 4.0-4.5% ขณะที่ผู้ลงทุนเริ่มขายพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งเคยเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ด้านธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ยังคงดอกเบี้ยตามคาดที่อัตรา 4.25% ถึง 4.50% นับเป็นครั้งที่สามติดต่อกัน
ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนเมษายน 2568 ณ 30 เม.ย. 68 พบว่า SET Index ปิดที่ 1,197.26 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.4% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 ปรับลดลง 14.5%
ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มการเงิน กลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ในเดือนนี้มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน mai 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. แอลทีเอ็มเอช (LTMH) และ บมจ. บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป (BKA)
ขณะที่ Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเม.ย. 2568 อยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 11.5 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 15.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 11.4 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ระดับ 4.00% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.40%
ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 39,410 ล้านบาท ลดลง 11.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 50.52% โดยมีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิ 14,588 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) พบว่า ในเดือนเม.ย. 2568 มีกระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ไหลเข้าสุทธิในตลาดพันธบัตรไทยแล้วประมาณ 60,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2565
“นักวิเคราะห์ประเมินว่า (เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาไทย) มาจากความไม่เชื่อมั่นต่อดอลลาร์จากสงครามการค้า ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยที่น่าจะลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้”
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น จากในวันที่ 10 เมษายน ที่สหรัฐฯ ได้ประกาศเลื่อนการเก็บ reciprocal tariff ไปอีก 90 วัน อีกทั้งมาตรการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกมาตั้งแต่วันที่ 8-11 เม.ย. ช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาดทุนไทยได้ในระดับหนึ่ง ทำให้ SET Index มีความผันผวนน้อยกว่าหลายตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค นอกจากนี้ หลังวันที่ 16 เม.ย. SET Index ปรับเพิ่มขึ้น โดยจำนวนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกในแต่ละวันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและกระจายไปในหลายอุตสาหกรรม ขณะที่ Valuation ของหุ้นไทยยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ
ในระยะต่อไปมองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยหนุนจากกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ หรือ Thailand ESG Extra Fund (ThaiESGX) และมาตรตการของรัฐที่จะออกมามีผลเพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลัง
ภาพ: ตลท.
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : รัฐบาลไทยเผยวิธีกู้เงิน-ระดมทุนใหม่เปิดตัวโทเคนดิจิทัล ‘G-Token’
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine