บล. พาย เชื่อปีนี้ตลาดหุ้นไทยที่ 1,000 จุด ยังเอาอยู่! คาดใน 2-3 ปี SET Index มีโอกาสฟื้นแตะ 1,500 จุด - Forbes Thailand

บล. พาย เชื่อปีนี้ตลาดหุ้นไทยที่ 1,000 จุด ยังเอาอยู่! คาดใน 2-3 ปี SET Index มีโอกาสฟื้นแตะ 1,500 จุด

หลังจากเช้าวันนี้ (28 ก.พ. 68) ตลาดหุ้นไทยหรือ SET Index หลุด 1,200 จุด โดยฝั่ง ตลท. ออกมาชี้แจงว่า การปรับลดลงนี้เป็นทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก ที่กังวลจากสงครามการค้าที่อาจรุนแรงขึ้น ล่าสุด บล.พาย เปิดเผยว่าตลาดหุ้นไทยปีนี้หลังหลุด 1,200 จุด เชื่อว่ายืนเหนือ 1,000 จุด และปี 69 ตลาดหุ้นไทยจะเริ่มฟื้นตัวขึ้น และใน 2-3 ปี มีโอกาสที่ SET Index ฟื้นแตะ 1,500 จุด


    ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ออกมาเปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิดภาคเช้าวันนี้ (28 ก.พ. 2568) ปรับลดลง 20.47 จุด หรือ 1.68% ลดลงจากเมื่อวานนี้ มาอยู่ที่ 1,195.26 จุด ในทิศทางเดียวกับดัชนีตลาดหุ้นภูมิภาค เช่น Nikkei ลดลง 3% Hang Seng ลดลง 2.35% และ KOSPI ลดลง 3.27% สาเหตุหลักมาจากความกังวลเรื่องสงครามการค้าที่อาจจะรุนแรงขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศที่จะเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดา และเม็กซิโก ในวันที่ 4 มี.ค. 2568 และจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% มีผลวันเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมาจากความกังวลว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบจาก MSCI Rebalance ซึ่งมีผลต่อดัชนีราคาหุ้นโดยรวมวันนี้

    นายกวี ชูกิจเกษม ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่สายการบริหารพอร์ตการลงทุน บล. พาย เปิดเผยว่า ปี 2567 ที่ผ่านมา บล. พายประเมิน SET Index ไว้ที่ 1,400 จุด และปี 2568 มองไว้ที่ 1,200 จุด ซึ่งแม้จะมีโอกาสที่จะลดลงได้แต่อยู่ในกรอบจำกัด เพราะตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาแล้ว 2 ปี ขณะที่คนอื่นยังไม่ลงมาเลย จึงทำให้ Valuation ของตลาดหุ้นไทยถูกมาก Price to Book Value (P/BV) ลงมาที่ 1.2 เท่า

    “ถามว่า 1.2 เท่า เทียบกับ (วิกฤต) Subprime เทียบกับตอนโควิด คือระดับเดียวกันเลย ผลตอบแทนเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยขึ้นมา 4% ก็แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยไม่ว่าจะมองในมุมไหน อยู่ในทิศทางหรือใน valuation ที่ค่อนข้างสูง แต่คำว่ามูลค่าที่ถูกไม่ได้หมายความว่าจะไม่ลงต่อนะ เพราะฉะนั้นถ้าเจอเศรษฐกิจโลกยังไงก็ลง แต่ผมเชื่อว่า Downside ของตลาดหุ้นไทยไม่เยอะ” นายกวีกล่าว

    ทั้งนี้ การที่ดัชนีหุ้นไทยหลุด 1,200 หรือจะเข้าไปใกล้ 1,000 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ลดลงราว 30% (จากค่าเฉลี่ยเมื่อเจอวิกฤตตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงราว 50%) ถือว่าเป็นจุดที่เริ่มทยอยสะสมหุ้นไทยได้ โดยต้องเลือกหุ้นไทยที่อยู่ในกระแส เป็นเทรนด์ของอุตสาหกรรมไทยที่ยังสามารถเติบโตได้ หุ้น Defensive (หุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแรง) อาทิ ในกลุ่ม S-Curve เดิมของไทย เช่น Healthcare, การท่องเที่ยว, เกี่ยวกับโลจิสติกส์, ธนาคาร ฯลฯ

    ในปี 2568 คาดว่าตลาดหุ้นไทยยังยืนที่ระดับ 1,000 จุดได้ และภายใน 2-3 ปี เชื่อว่ามีโอกาสฟื้นสู่ระดับ 1,500 จุด แต่เศรษฐกิจโลกและไทยต้องดีขึ้น ดังนั้นมีความเสี่ยงที่ต้องติดตามคือ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจของไทยที่กว่า 50% ของ GDP มาจากบริโภคของภาคประชาชนซึ่งโตไม่ได้แล้ว สะท้อนจากในไตรมาส 4/2567 ที่มีการอัดฉีดเงินเข้าไป 140,000 ล้านบาท แต่เศรษฐกิจยังออกมาต่ำกว่าที่คาด แสดงว่าการแจกเงินไม่ใช่มาตรการที่ดีและในปี 68 ถ้ามีการแจกเงินเพิ่มขึ้นอีกคงไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ 

    ขณะที่การบริโภคอีกฐานคือนักท่องเที่ยว ปี 2567 อยู่ที่ 35 ล้านคน ปี 68 คาดว่าจะอยู่ที่ 38.39 ล้านคน เติบโตแค่ 10% ดังนั้นหากหวังที่จะเติบโตการบริโภคจากนักท่องเที่ยวก็ทำได้น้อยลง

    นอกจากนี้ ปี 2568 รัฐบาลน่าจะลงทุนต่อเนื่อง แม้จะลงทุนถึง 20-30% ก็ไม่อาจกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 7-8% ของ GDP ขณะที่ภาคการส่งออกแม้เดือนม.ค. 68 จะเติบโตได้สูงแต่ทั้งปียังประมาณการเติบโตไว้เพียง 2% จึงสะท้อนว่ายังมีความเสี่ยงสูง และยังต้องติดตามปัจจัยทางการเมืองอีกด้วย

    อย่างไรก็ตามมองว่าปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทย คือ ปัจจัยเศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นต่างประเทศยังเป็นความเสี่ยงหลัก ในมุมของเศรษฐกิจที่ชะลอยังต้องติดตามว่าจะลงไปถึงจุดต่ำสุดเมื่อไร เพราะเป็นจุดแสดงว่าตลาดกำลังจะฟื้นกลับขึ้นมา โดยหนึ่งใน Trigger point ที่ทำให้เห็นจุดต่ำสุดได้ คือ ดอกเบี้ย สังเกตว่าตอนนี้อเมริกาดอกเบี้ยลงที่แสดงถึงว่าเศรษฐกิจชะลอ ซึ่งตอนนี้ยังปรับลดลงมาครึ่งทาง แต่คงไม่ได้ลดลงต่ำระดับ 0% เหมือนในอดีต น่าจะลงมาประมาณ 2-3% ซึ่งถือเป็น Trigger point หนึ่งที่จะบอกว่าเศรษฐกิจอเมริกาลงมาใกล้จุดต่ำสุดแล้ว



ภาพ: บล. พาย 



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ตลาดหุ้นไทยอ่อนไหว! ผลกระทบจาก 2 หุ้น ‘DELTA - AOT’ ทำ SET Index วันนี้ดิ่ง 31.96 จุด

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine