MAGURO หุ้นร้านอาหารญี่ปุ่น เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรกราคาพุ่งเหนือจองกว่า 44.65% ทะลุ 23.00 บาทต่อหุ้น ด้านธุรกิจแม้ค่าแรง - ต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่ยังบริหารได้ ตั้งเป้ากำไรโตต่อเนื่อง เร่งขยาย 11 สาขาและเปิดตัวแบรนด์ใหม่ช่วงไตรมาส 4 ปีนี้
นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดเผยว่า บริษัทฯ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันนี้ (5 มิ.ย. 67) เป็นวันแรก ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 44.65% สู่ราคา 23.00 บาท/หุ้น สูงกว่าราคา IPO ที่ 15.90 บาท/หุ้น
ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะใช้เปิดแบรนด์ใหม่ และขยายสาขาเพิ่ม โดยในปี 2567 มีเป้าหมายขยายไม่น้อยกว่า 11 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งปรับปรุงระบบสาขาเดิม ครัวกลาง ระบบ IT และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน โดยภายในไตรมาส 4 ปี 2567 นี้จะเปิดตัวแบรนด์ร้านใหม่ที่ต่างจากร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลี ซึ่งทางบริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มแบรนด์ใหม่ปีละ 1 แบรนด์ (จากปัจจุบันมี 3 แบรนด์ ได้แก่ MAGURO, SSAMTHING TOGETHER และ HITORI SHABU)
นอกจากนี้ ปัจจุบันทางบริษัทมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นสมาชิก กว่า 145,000 ราย ซึ่งปัจจุบันมีการใช้จ่ายเฉลี่ย 2,000 บาทต่อใบเสร็จ และสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ กว่า 60% ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มในการกลับมาใช้บริการซ้ำ (โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อใบเสร็จของร้าน MAGURO และ HITORI อยู่ที่ 2,000 บาท ขณะที่ร้าน SSAMTHING TOGETHER อยู่ที่ 600 - 700 บาทต่อใบเสร็จ)
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจร้านอาหารในไทยมีการแข่งขันสูง และมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเช่น ค่าแรงและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่คาดว่าจะบริหารจัดการได้ เพราะปัจจุบันค่าแรงของบริษัทอยู่ในอัตราที่สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำและตลาดอยู่แล้ว ขณะที่ด้านต้นทุนมีการรับมือมาตลอด 9 ปี และบริหารจัดการได้ดี เช่น มีการวางแผนจัดซื้อล่วงหน้า จัดหาซัพพลายเออร์สำรอง ฯลฯ นอกจากนี้ หากมีจำนวนสาขามากขึ้น จะทำให้มีอำนาจในการต่อรองกับซัพพลายเออร์ได้มากขึ้น และส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตขึ้น แม้ในระยะสั้นอาจมีค่าใช้จ่ายครั้งเดียว เช่น การทำ IPO เพิ่มขึ้น แต่จะทยอยลดลง
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานใน ปี 2566 มีรายได้รวม 1,045.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.06% และมีกำไร 72.48 ล้านบาท เติบโต 131.12% จากปีก่อนหน้า ขณะที่ผลการดำเนินการในงวดไตรมาส 1 ปี 2567 มีรายได้รวม 297.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.89% และมีกำไรสุทธิ 20.13 ล้านบาท เติบโต 3.52% จากงวดเดียวกันเมื่อปีก่อน
“MAGURO มีความมุ่งมั่นดำเนินธูรกิจภายใต้ปรัชญาการให้มากกว่าที่ขอ หรือ Give More ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการให้บริการแก่ลูกค้าในทุกด้าน ตั้งแต่การเปิดร้านมากุโระ สาขาแรก เมื่อ 9 ปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน อีกทั้ง บริษัทฯ ยังยึดหลักปรัชญา Give More ในการดำเนินกิจการทั้งกับคู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนผู้ถือหุ้น และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน” เอกฤกษ์ กล่าว
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘แว่นท็อปเจริญ’ แปรสภาพเป็นบริษัท ‘มหาชน’ แล้ว เตรียมขยายสาขาสู่อาเซียนปีนี้
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine