กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) เผยแผนงานปี 68 ตั้งรับมือความท้าทายหลายด้าน พร้อมวางรากฐานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน เน้นสร้างเสถียรภาพทางการเงิน และควบคุมคุณภาพสินเชื่อ ท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังชะลอตัว และความผันผวนในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง KKP คาดเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 2.6% ต้องจับตาผลกระทบนโยบายการค้าโลก
นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า นับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 คุณภาพของพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อใหม่ของธนาคารมีแนวโน้มดีขึ้น ฟื้นตัวจากผลกระทบเรื่องราคารถยนต์ตกต่ำช่วงหลังโควิด ส่งผลให้ผลการดำเนินงานโดยรวมของพอร์ตสินเชื่อเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ช่องทางออนไลน์ของธนาคารในด้านเงินฝากและการลงทุนเช่น KKP Savvy, KKP Edge และ Dime! ยังเติบโตเป็นที่น่าพอใจ พร้อมกับที่การเปิดตัวบัญชีเงินฝากสกุลเงินตราต่างประเทศได้ช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกในการบริหารจัดการต้นทุนอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ปี 2567 เป็นปีแห่งการปรับสมดุลสำหรับ KKP โดยแม้จะมีความท้าทาย แต่ KKP ได้มุ่งเน้นไปที่การวางรากฐานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่อที่มีคุณภาพ เร่งเสริมรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยจากการพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน และการสร้างโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งเชื่อว่าจะส่งมอบคุณค่าในระยะยาวให้แก่ลูกค้าและผู้ถือหุ้น” นายอภินันท์ กล่าว
ทั้งนี้ แม้ในปี 2567 ธุรกิจตลาดทุนของ KKP ต้องเผชิญกับความผันผวนท่ามกลางภาวะขาลงของตลาดหลักทรัพย์ไทย อย่างไรก็ตาม รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยยังคงเพิ่มสูงขึ้น และสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำและการบริหารของ KKP เติบโตได้ดี คิดเป็นสินทรัพย์รวมกว่า 1 ล้านล้านบาท จากการให้บริการผ่านบริษัทหลักทรัพย์และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเป็นผู้นำด้านการลงทุนในต่างประเทศ ไม่ว่าในลักษณะที่เป็นตลาดหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์นอกตลาด (Private Markets) ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน
ในด้านวานิชธนกิจ ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของ KKP ยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะบริการที่ปรึกษาและการทำธุรกรรมสำคัญ เช่น การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของรูปแบบธุรกิจของธนาคาร เช่นเดียวกับที่ธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ ยังคงครองส่วนแบ่งเป็นอันดับหนึ่งของตลาดอย่างต่อเนื่อง
สำหรับกลยุทธ์ปี 2568 ธนาคารมุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพ เพื่อสร้างพอร์ตสินเชื่อที่มีเสถียรภาพ ลดต้นทุนด้านเครดิตและบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม เพื่อที่จะสามารถตอบสนองต่อความท้าทายจากระดับหนี้ครัวเรือนของไทยที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยแม้ว่าแนวทางการเติบโตอย่างระมัดระวัง อาจส่งผลให้ขนาดของพอร์ตสินเชื่อและรายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจสินเชื่อลดลงในระยะสั้น แต่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ระยะยาวของธนาคารในการสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่ยั่งยืน
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 2.6% ชะลอตัวจากปีก่อนหน้าที่คาดไว้ที่ 2.7% เล็กน้อย โดยมีแรงส่งสำคัญจากภาคท่องเที่ยวและภาคบริการ อย่างไรก็ตาม แรงส่งนี้มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากการฟื้นตัวกลับมาเกือบปกติของภาคท่องเที่ยว ในขณะที่ปัญหาความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมและภาคส่งออกยังเป็นแรงกดดันที่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ การหดตัวของสินเชื่อภาคธนาคารจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาวะเศรษฐกิจกำลังส่งผลทางลบต่อการบริโภคสินค้าคงทนและภาคอสังหาริมทรัพย์
ด้านปัจจัยภายนอก เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงจากนโยบายของสหรัฐฯ ที่อาจใช้นโยบายการค้าเป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรอง โดยไทยติดอันดับที่ 11 ของประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุด และอาเซียนเองก็เกินดุลการค้าเป็นอันดับ 2 รองจากจีนเท่านั้น ทำให้ไทยและอาเซียนอาจตกเป็นเป้าของมาตรการทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ และส่งผลต่อภาคการค้าไทยได้ ทั้งนี้ นอกจากกลุ่มสินค้าส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบแล้ว ไทยอาจถูกกดดันให้เปิดตลาดบางกลุ่มสินค้า รวมถึงสินค้าเกษตรที่ไทยมีอัตราภาษีและมาตรการกีดกันการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในขณะที่ไทยอาจได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานลงทุน จึงมีความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมในการรับมือและเจรจาต่อรองให้เกิดผลดีที่สุด
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่มีไม่แน่นอน ดร.พิพัฒน์ มองว่า การใช้นโยบายการคลัง และนโยบายการเงินจะมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับความเสี่ยง นอกจากนี้ การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อสนับสนุนการลงทุนและยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจยังมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยคาดว่าน่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในปีนี้ และรัฐบาลยังคงใช้นโยบายขาดดุลด้านการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี ด้วยข้อจำกัดด้านการคลังกำลังมีมากขึ้นและหนี้สาธารณะที่ขยับใกล้แตะเพดาน 70% ของ GDP รัฐบาลอาจต้องมีการทบทวนว่าจะเลือกใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรเพื่อให้เกิดผลดีที่สุดต่อเศรษฐกิจ และเนื่องจากระดับรายได้ภาษีของรัฐบาลที่มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ ตลอดจนความจำเป็นในการใช้จ่ายภาครัฐที่มีมากขึ้น ทำให้จำเป็นต้องปฏิรูประบบราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐ ขยายฐานภาษี และปฏิรูประบบภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ ดูแลเรื่องปัญหาความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ภาพ: KKP
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : KKP แจงเหตุเศรษฐกิจไทยปี 2025 เสี่ยงโตต่ำศักยภาพที่ 3% แม้มีแจกเงิน-ส่งออก-ท่องเที่ยวฟื้นตัว
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine