บาทแข็งค่าแรงต่อเนื่องเช้านี้ (24 ก.ย.) แตะระดับ 32.60 บาท/เหรียญสหรัฐ - Forbes Thailand

บาทแข็งค่าแรงต่อเนื่องเช้านี้ (24 ก.ย.) แตะระดับ 32.60 บาท/เหรียญสหรัฐ

ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเช้าวันนี้เปิดตลาดที่ระดับ 32.60 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ถือว่าแข็งค่าขึ้นจากเมื่อวานนี้ที่อยู่ 32.85 บาทต่อเหรียญสหรัฐ สาเหตุหลักยังมาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าลง และได้แรงหนุนจากแรงขายทำกำไรทองคำ ที่ทำ All-Time High


     นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (25 กันยายน) ที่ระดับ 32.60 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จากเมื่อคืนนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (กรอบการเคลื่อนไหว 32.58-32.86 บาทต่อเหรียญสหรัฐ) ตามการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Conference Board เดือนกันยายน ออกมาแย่กว่าคาดและสะท้อนความกังวลภาวะตลาดแรงงานของผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจต้องเร่งลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด 

     นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังถูกกดดันจากการกลับมาแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะ เงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ได้แรงหนุนจากความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน หลังทางการจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ ทั้งนี้ แม้ว่าตลาดการเงินจะเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง แต่การปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงความต้องการถือทองคำในช่วงตลาดเผชิญสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังคงร้อนแรงอยู่ ได้หนุนให้ราคาทองคำ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All-Time High) ท่ามกลางความหวังการเร่งลดดอกเบี้ยของ Fed รวมถึงความต้องการถือทองคำในช่วงสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคงร้อนแรงอยู่ ดังนั้น เงินบาทยังคงได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ 

     สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาทมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.50-32.80 บาท/เหรียญสหรัฐ และประเมินว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นมีกำลังมากกว่าที่เราประเมินไว้ ซึ่งต้องยอมรับว่า เกิดจาก Surprise มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ของทางการจีนในวันก่อนหน้า (เราเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าทางการจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นนักลงทุนขนานใหญ่ในเร็ววันนี้) ที่พลิกมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีน จนทำให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นร้อนแรง ขณะเดียวกันเงินหยวนจีน (CNY) ก็แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และหนุนการแข็งค่าขึ้นของบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชียจากภาพดังกล่าวอาจยังคงช่วยหนุนบรรยากาศในตลาดการเงินฝั่งเอเชียในช่วงนี้ ทำให้เงินบาทอาจพอได้รับอานิสงส์จากความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนอยู่บ้าง 

     “เราคงมุมมองเดิมว่า ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงสามารถปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ได้นั้น เงินบาทก็อาจทยอยแข็งค่าขึ้นต่อได้ ทำให้มีโอกาสที่จะเห็นเงินบาทแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับสำคัญ 32.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งหากเงินบาทแข็งค่าขึ้นทะลุโซนดังกล่าวได้จริง จะเปิดโอกาสให้เงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องไปยังโซน 32.00-32.25 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ได้ไม่ยาก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่อาจมีมุมมองคล้ายกับเรา ที่ประเมินว่า การแข็งค่าของเงินบาทควรจำกัดลงได้แล้วนั้น อาจต้องปรับสถานะถือครอง หรือ Cut Loss สำหรับสถานะ Short THB ในจังหวะที่เงินบาทแข็งค่าหลุดโซนแนวรับ” นายพูน กล่าว

     อย่างไรก็ดี แม้ว่าโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังคงมีอยู่ แต่มองว่าการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจชะลอลงได้บ้าง ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบก็มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งในระยะสั้น ก่อนที่ทางการจีนจะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่นั้น ผู้เล่นในตลาดได้มีสถานะ Net Short น้ำมันดิบมากพอสมควร ทำให้มีโอกาสเกิดภาพการเร่งปิดสถานะดังกล่าวและหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นได้ในระยะสั้น อีกทั้ง การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงนี้ ก็จะยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยซื้อบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็อาจพอช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้บ้าง 

      อย่างไรก็ตาม ยังคงย้ำมุมมองเดิมว่า ในเชิง Valuation การแข็งค่าของเงินบาทมากกว่าโซน 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะโซนแข็งค่าเกิน 32.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ถือว่า เป็นระดับที่ Overvalued (Z-Score ของดัชนีค่าเงินบาท REER เกินระดับ +0.5) ซึ่งหากปัจจัยพื้นฐานไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เงินบาทก็ไม่ควรแข็งค่าเกินระดับดังกล่าวไปมากนัก ทำให้ผู้ประกอบการอย่างฝั่งผู้นำเข้าควรเตรียมพร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

     นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : อ่านกลยุทธ์ SC Asset ขยายธุรกิจใหม่ ‘โรงแรม-คลังสินค้า’ ผ่าน SCX อัดงบ 20,000 ล้าน ใน 5 ปี

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine