3 หนุ่มแห่ง PrimeStreet Capital เชื่อมโยงการลงทุนระดับโลกสู่ไทย - Forbes Thailand

3 หนุ่มแห่ง PrimeStreet Capital เชื่อมโยงการลงทุนระดับโลกสู่ไทย

แม้จะเป็นผู้บริหารกองทุนหน้าใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวกองทุน Global Venture Capital กองแรกเมื่อช่วงกลางปี 2565 แต่ด้วยมูลค่าพอร์ตที่เติบโต 2 เท่า และให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนถึงร้อยละ 122 ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี สะท้อนถึงฝีมือที่ไม่ธรรมดาของ 3 หนุ่ม แห่ง PrimeStreet Capital วิฤทธิ์ วิจิตรวาทการ พรสิทธิ์ ภูวนกิจจากร และ ศุภวัฒก์ ชลวณิช ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วน


    PrimeStreet Capital เป็นส่วนหนึ่งของ PrimeStreet Group วาณิชธนกิจชั้นนำของประเทศไทย PrimeStreet Capital เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 2018 แต่ใช้เวลาเตรียมการนานถึง 4 ปี ในการเปิดตัวกองทุนกองแรก Global Venture Capital ที่เน้นลงทุนในกิจการหรือบริษัทที่น่าสนใจ มีศักยภาพ และโอกาสเติบโตสูง ภายใต้ 4 ธีมการลงทุนเมกะเทรนด์ ได้แก่ 1. Healthcare and Wellness, 2. Society and Lifestyle, 3. Environment and Resource และ 4. Impact Technology & Web 3.0 และด้วยผลลัพท์ที่เกิดขึ้น แสดงถึงประสบการณ์และฝีมือที่ไม่ธรรมดาของทั้ง 3 ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วน



    “การเปิดตัวกองทุน ต้องมีสินทรัพย์ที่ดี ด้วยต้นทุนที่ไม่แพงเกินไป ช่วงโควิดเราเลยเก็บเงิน และหาสินทรัพย์ที่ดี เพื่อหาจังหวะที่เหมาะสม (Strategic Timing) ในการเข้าลงทุน” ศุภวัฒก์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วนเล่าถึงหนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนของ PrimeStreet Capital


เชื่อมโยงลงทุนระดับโลกสู่ไทย

    หากย้อนดูประวัติ และประสบการณ์ทำงานของผู้บริหารทั้ง 3 คน นอกจากจะมีประสบการณ์ในวงการวาณิชธนกิจมากกว่า 20 ปี และที่สำคัญเป็นผู้มีเครือข่ายพันธมิตรในหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากการไปทำงานในต่างประเทศอย่างยาวนานไม่ต่ำกว่า 10 ปี และมองว่าถึงเวลาแล้วที่จะนำความรู้และประสบการณ์มาสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับประเทศ ในมุมที่ตัวเองมีความเชี่ยวชาญ นั่นคือการลงทุน

    “เราก็เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทต่าง ๆ ในประเทศไทยมานาน และช่วยการสร้างเติบโตให้กับองค์กรมาตลอด แต่การเป็นที่ปรึกษาบริษัทอย่างเดียวไม่ได้ช่วยสร้างคุณค่าให้กับภาพรวมของเศรษฐกิจไทย เราจึงตั้ง PrimeStreet Capital ขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์ตรงนั้น ครอบครัวผม และส่วนตัวผมมีความตั้งใจที่จะนำเอาความรู้ ความสามารถมาพัฒนาประเทศ ในมุมที่เรามีความถนัด” วิฤทธิ์ วิจิตรวาทการ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วนกล่าวถึงความตั้งใจในการก่อตั้ง PrimeStreet Capital

    ด้าน พรสิทธิ์ เป็นวิศวกร หลังจากเรียนจบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 2 จากจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา และได้ทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมโครงการภาคขนส่งและการจราจรที่นิวยอร์ค หลังจากนั้นเป็นที่ปรึกษาด้านการวิเคราะห์ธุรกิจในอีกหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนกลับมารับผิดชอบส่วนงานวาณิชธนกิจกับธนาคารกสิกรไทย และมาร่วมงานกับ PrimeStreet Advisory หนึ่งในบริษัทในเครือ PrimeStreet Group



    “ช่วงที่ทำงานต่างประเทศ ก็คิดถึงบ้านตลอด ถึงช่วงหนึ่งคิดถึงบ้านจริงจัง และอยากกลับมาทำงานที่ไทย อยู่ในสาย Investment Banking และมาเจอกับ 2 คน (วิฤทธิ์ และ ศุภวัฒก์) และมองเห็นโอกาสการเติบโต จึงมาร่วมตั้ง PrimeStreet Capital” พรสิทธิ์กล่าว

    ขณะที่ ศุภวัฒน์ เริ่มทำงานเป็นผู้จัดการกองทุนที่สิงคโปร์ และไต่เต้าจนเป็นกรรมการผู้จัดการกองทุน ด้วยผลงานที่ได้รับการยอมรับ อาทิ ช่วงที่ทำงาน Mizuho Investment Bank ติดอันดับ 1 ใน 25 ของผู้ที่มีผลงานดีเยี่ยม เป็นหนึ่งในทีมหลักในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุน Private Equity มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ช่วงที่อยู่กับ TEAL PARTNER ดูแลตลาดมาเลเซีย และสิงคโปร์

    “สิ่งที่เรามี และแตกต่างจากคนอื่น คือเครือข่ายพันธมิตรในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก จากประสบการณ์การทำงานในต่างประเทศหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เราสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ระดับเทียร์วันTier 1 ได้ และเชื่อมโยงการลงทุนจากบริษัทที่มีศักยภาพในโลกตะวันตกมาสู่ประเทศไทย” ศุภวัฒน์ระบุ


ตั้งเป้า AUM ขนาดหมื่นล้านภายใน 5 ปี

    PrimeStreet Capital เปิดตัวกองทุนแรก Global Venture Capital เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดมูลค่าพอร์ต Global Venture Capital ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน IRR ราว 122% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ตามการเติบโตของกิจการบริษัทร่วมลงทุน โดยล่าสุด “NEUVIVO” บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech Company) อยู่ระหว่างยื่นขอรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ FDA (Food and Drug Administration)

    ขณะที่ “Clip” ยูนิคอร์นด้าน FinTech ผู้พัฒนาระบบการชำระเงิน (Payment Process) ในเม็กซิโก 1 ในบริษัทร่วมลงทุน ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์รวมกว่า 2 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เตรียมเข้าเทรดในตลาดหุ้น Nasdaq เร็ว ๆ นี้ จากก่อนหน้า “ZAPP” ผู้คิดค้นออกแบบและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง สตาร์ทอัพ สัญชาติอังกฤษ ได้เข้าซื้อขายในตลาดหุ้น Nasdaq ไปเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าบริษัท ณ วันเข้าซื้อขายวันแรกประมาณ 400 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ

    พรสิทธิ์ กล่าวว่า PrimeStreet Capital ดำเนินการภายใต้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก “Active Approach” เพื่อเข้าช่วยเหลือ และแบ่งปันประสบการณ์ด้านกลยุทธ์องค์กร การดำเนินงาน และการจัดการทางการเงิน เพื่อช่วยลดความเสี่ยง ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตที่แข็งแกร่ง และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน รวมถึงกลยุทธ์ “Inside Out – Outside In” เพื่อแสวงหาโอกาสลงทุน นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ กลับมาต่อยอดให้กับกิจการ หรือภาคธุรกิจภายในประเทศ สร้าง New S-Curve ขับเคลื่อนการเติบโต อันจะไปนำสู่การพัฒนายกระดับศักยภาพ Ecosystem ของไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น


    ขณะนี้ PrimeStreet Capital อยู่ระหว่างการคัดกรองกิจการและธุรกิจที่น่าสนใจในการเข้าร่วมลงทุน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Low Risk High Return” เบื้องต้นคาดว่า จะเข้าร่วมลงทุนเพิ่มเติมอีก 4-5 บริษัท ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพสูงพร้อมเติบโตแบบก้าวกระโดด ภายในปี 2567 และปลายปีจะเปิดตัวกองใหม่ที่เป็น Private Equity Fund

    สำหรับเป้าหมายการเติบโตของกองทุน Global Venture Capital ของ PrimeStreet Capital มองว่า ภายใน 3 – 5 ปี จะมีขนาดสินทรัพย์ภายใต้การลงทุน (AUM) 200 – 500 ล้านเหรียญสหรัฐ และแน่นอนว่าเรามีเป้าหมาย AUM ระดับ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการลงทุนในบริษัทหรือกิจการ 15 – 20 บริษัท

    วิฤทธิ์ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา หลายคนอาจจะมองว่าวงการ VC มีปัญหา แต่จริง ๆ แล้วไม่มี และตอนนี้กำลังเป็นช่วงขาขึ้นของวัฏฎจักรรอบใหม่ และบริษัทที่มีอยู่ตอนนี้เป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา คือวันนี้โลกยังต้องการเทคโนโลยีอยู่หรือไม่ คำตอบ คือต้องการแน่นอน สิ่งที่ PrimeStreet Capital นำเสนอในตอนนี้ คือโอกาสการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีดี ๆ ระดับโลก ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตในอนาคต และ PrimeStreet Capital จะเป็นประตูที่จะเชื่อมโยงการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพนั้นมาสู่ประเทศไทย

    “ถ้าไม่อยากตกรถไฟ ก็ต้องหันมามองกองทุน Global Venture Capital ของเรา” วิฤทธิ์กล่าวทิ้งท้าย



อ่านเพิ่มเติม : เคทีซี เผยตัวเลข 9 เดือน กำไรสุทธิ 5.5 พันล้านบาท ตั้งเป้าปี 67 ขยายพอร์ตสินเชื่อเพิ่ม 10%

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine