เอสซีบี ไพรเวทแบงก์กิ้ง เดินหน้าแพลตฟอร์มด้านการลงทุน ผสานความแข็งแกร่งของทีมที่ปรึกษาด้านการเงินการลงทุนส่วนบุคคลระดับมืออาชีพอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่แบบไร้ขีดจำกัดในการดูแลกลุ่มลูกค้าไพรเวทแบงก์กิ้งที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (High-Net-Worth)
เอสซีบี ไพรเวทแบงก์กิ้ง (SCB PRIVATE BANKING) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ และโซลูชันทางการลงทุนรูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ “SCB Property Backed Loan” สินเชื่อเพื่อใช้ในการบริหารความมั่งคั่ง สำหรับลูกค้า SCB PRIVATE BANKING ใช้เพิ่มกระแสเงินสดเพื่อต่อยอดความมั่งคั่ง ให้ลูกค้าไม่พลาดจังหวะการลงทุนท่ามกลางความผันผวนของตลาด โดยลูกค้าสามารถนำอสังหาริมทรัพย์ที่ปลอดภาระมาเป็นหลักประกัน เพื่อได้รับวงเงินสำหรับการลงทุนกับ SCB PRIVATE BANKING ให้อสังหาริมทรัพย์ช่วยทำเงินเพิ่มความมั่งคั่ง (wealth enhancement) และยังไม่เสียโอกาสหากอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต อัตราดอกเบี้ยพิเศษทั้งแบบลอยตัวและคงที่ นอกจากนี้ ลูกค้าสามารถขายอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกันได้ภายหลัง โดยไม่มีค่าธรรมเนียมการชำระคืนก่อนกำหนด หรือถ้าต้องการหาหลักประกันอื่นมาทดแทนก็สามารถทำได้ ตั้งเป้าภายในปีหน้ามีลูกค้าเข้าร่วมโครงการวงเงินรวมกว่า 10,000 ล้านบาท มุ่งสู่ความเป็นผู้นำด้านการให้คำปรึกษาเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันธุรกิจ Wealth Management หนึ่งในธุรกิจหลักที่เป็นยุทธศาสตร์องค์กรที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เมธินี จงสฤษดิ์หวัง รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไพรเวทแบงก์กิ้ง ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ท่ามกลางสถานการณ์ตลาดการลงทุนที่มีความผันผวนและเปราะบางตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เราเห็นถึงความต้องการของลูกค้าในกลุ่มไพรเวทแบงก์กิ้งที่ต้องการลงทุนอย่างต่อเนื่องและมีอสังหาริมทรัพย์ไว้ในครอบครองอยู่มาก อยากนำมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่งคั่ง wealth enhancement SCB PRIVATE BANKING จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันด้านการลงทุนที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการนี้ ภายใต้ชื่อ “SCB Property Backed Loan” หรือสินเชื่อเพื่อใช้ในการบริหารความมั่งคั่ง ที่ออกแบบมาสำหรับลูกค้ากลุ่มไพรเวทแบงก์กิ้งที่ต้องการเพิ่มกระแสเงินสดในการลงทุน โดยลูกค้าสามารถนำอสังหาริมทรัพย์ที่ปลอดภาระมาเป็นหลักประกัน เพื่อได้รับวงเงินสำหรับการลงทุนกับกลุ่มไทยพาณิชย์ สร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมนอกเหนือจากการปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ หรือจากรายได้ค่าเช่าบนอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งไม่เสียโอกาสหากอสังหาริมทรัพย์นั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต มีความยืดหยุ่นสูง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าไม่ให้พลาดทุกจังหวะการลงทุน โดยลูกค้าสามารถขอสินเชื่อได้ตั้งแต่ระยะเวลา 1 ปี ถึง 3 ปี อัตราดอกเบี้ยพิเศษทั้งแบบลอยตัวและคงที่ นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถที่จะขายอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกันได้ภายหลังโดยไม่มีค่าธรรมเนียมการชำระคืนก่อนกำหนด (penalty fee) หรือถ้าต้องการหาหลักประกันอื่นมาทดแทนก็สามารถทำได้” “นอกจากนี้ SCB PRIVATE BANKING ยังมีทีมที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุนส่วนบุคคลมืออาชีพที่พร้อมให้คำแนะนำด้านการลงทุนที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ (Personalized Asset Allocation) ที่สอดคล้องกับความต้องการและระดับความเสี่ยงในการลงทุนของลูกค้า ทั้งนี้ ยังมีทีมที่ปรึกษาด้านภาษีที่จะช่วยให้คำแนะนำและวางแผนเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุน เป็นการสร้างความมั่งคั่งให้กับลูกค้าโดยไม่มีการคิดค่าใช้จ่ายอีกด้วย ตั้งเป้าภายในปีหน้ามีลูกค้าเข้าร่วมโครงการวงเงินกู้วงเงินรวมกว่า 10,000 ล้านบาท มุ่งสู่ความเป็นผู้นำด้านการให้คำปรึกษาเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันธุรกิจเวลธ์แมเนจเม้นท์ (Wealth Management) หนึ่งในธุรกิจหลักที่เป็นยุทธศาสตร์องค์กรที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน” ดร.เมธินี กล่าวเสริม อ่านเพิ่มเติม: ส่งต่อธุรกิจให้ “ทายาทธุรกิจ” อย่างยั่งยืนไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine