เจาะเทคนิคจัดพอร์ตรับมือ 'ความผันผวน' สร้างโอกาสทำกำไรครึ่งปีหลัง - Forbes Thailand

เจาะเทคนิคจัดพอร์ตรับมือ 'ความผันผวน' สร้างโอกาสทำกำไรครึ่งปีหลัง

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ทั้งจากปัจจัยภายนอกในเรื่องสงครามการค้าและนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางในประเทศต่างๆ สิ่งที่นักลงทุนต้องจับตามีอะไร และปรับพอร์ตอย่างไรเพื่อรับมือกับความผันผวนนี้ ลองไปฟังมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญในการเสวนาหัวข้อจัดพอร์ตรับความผันผวนตลาด สร้างโอกาสทำกำไรครึ่งปีหลังในงาน TMB Investment Talk

ศรายุทธ แก้วเกษ ผู้บริหารผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์กองทุนรวม TMB กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกในครึ่งปีแรกไม่แย่เท่าไรนัก ถึงแม้มี ความผันผวน ผ่านเข้ามาเป็นระยะๆ ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ อย่างตราสารหนี้, REIT, ทองคำ และน้ำมันปรับตัวเป็นบวกเช่นกัน

สำหรับครึ่งปีหลัง มองว่าแนวโน้มยังไปต่อได้ แต่มีปัจจัยที่ต้องจับตามองหลายประการ หลักๆ คือธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกที่ปีนี้มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ย และดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากตัวเลขดัชนีชี้นำเศรษฐกิจโลกหลายตัวเริ่มชะลอตัว โดยประเด็นที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกคงหนีไม่พ้นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งการประชุม G20 ที่ผ่านมาทั้งคู่ก็ประกาศสงบศึกกันชั่วคราว ทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นในเอเชียและทั่วโลกปรับตัวดีขึ้น

ศรายุทธ ระบุว่า อีกประเด็นที่เดือนนี้อาจต้องจับตาคือ Brexit ที่ยังตกลงกันไม่ได้จนอดีตนายกรัฐมนตรี Theresa May ได้ลาออก และต้องมีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งผู้ท้าชิงคนสำคัญคือ Boris Johnson ที่หากชนะการเลือกตั้ง ตลาดกังวลว่าอังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรปโดยไม่มีข้อตกลง

อย่างไรก็ตาม การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ย ส่งผลให้พันธบัตรรัฐบาลในประเทศหลักๆ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป หรือญี่ปุ่น มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ทำให้ราคาตราสารหนี้ขึ้น ในครึ่งปีหลังเราจึงให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้มากกว่าหุ้นเล็กน้อย โดยตราสารหนี้ที่แนะนำคือตราสารหนี้ที่กระจายความเสี่ยง มีการลงทุนที่ยืดหยุ่น

 

ถ่วงน้ำหนักให้ดีทั้งความเสี่ยงและผลตอบแทน

ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย (TMBAM Eastspring) กล่าวว่า กลไกราคาของตราสารหนี้นั้นแปรผกผันกับดอกเบี้ยของเฟด โดยในปีนี้เฟดมีท่าทีต่างจากปีก่อนคืออ่อนโยนลง เริ่มต้นจากการบอกว่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ย ส่วนตอนนี้มีทิศทางลดดอกเบี้ย ทำให้การลงทุนในกลุ่มตราสารหนี้น่าสนใจ

คอนเซ็ปต์ของการลงทุนที่อยากแนะนำคือการถ่วงน้ำหนักทั้ง 2 ด้าน คือเรื่องของ Capital Gain ซึ่งดอกเบี้ยที่มีความผันผวนทำให้ควรลงทุนในทรัพย์สินหรือตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดี แต่หากมองด้านนั้นด้านเดียวก็อาจทำให้ได้รับผลตอบแทนน้อย ดังนั้น อีกด้านหนึ่งจึงต้องคำนึงถึงผลตอบแทนที่ได้รับด้วย

ดร.สมจินต์ กล่าวอีกว่า สำหรับ TMB มีกองทุนที่น่าสนใจคือ TMB Global Income ซึ่งมีส่วนผสมของทั้ง 2 อย่างที่ทำให้การลงทุน 3-4 ปีได้รับผลตอบแทนพอสมควร ที่สำคัญคือมีการบริหารพอร์ตที่ยืดหยุ่น มีเครื่องมือที่หลากหลายที่ให้ผลตอบแทนดี และไม่ได้รับผลกระทบมากในช่วงที่ตราสารหนี้มีราคาผันผวนเนื่องจากมีบัฟเฟอร์อยู่

 

เลือกตราสารหนี้ที่มีความยืดหยุ่น

วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์และสื่อสารองค์กร บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่มีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลง ขณะที่โลกกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย ดังนั้นประชากรที่จะใช้จ่ายมีน้อยลง เพราะคนที่เริ่มเกษียณก็มีเงินจำกัด นอกจากนี้ ปัจจุบันเทคโนโลยียังเข้ามาปกคลุมสังคมมากขึ้น ทำให้ผู้คนใช้จ่ายสินค้าอื่นน้อยลง และจ่ายเงินให้เทคโนโลยีมากขึ้น

ทั้งหมดนี้ส่งผลให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกช้าลงเรื่อยๆ เห็นได้จากผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่ไม่มีจุดสูงสุดใหม่เลยในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา และจะลดลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกันผลจากสงครามการค้าที่ยังถึงแม้มีท่าทีที่ดีแต่ยังคงยืดเยื้ออยู่ ทำให้มีการประมาณการว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะเติบโตเพียง 0.2% เท่านั้น เพราะฉะนั้น มองว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นคงไม่ดีเท่าไรนัก และเป็นช่วงของการลงทุนในตราสารหนี้มากกว่าเนื่องจากรับมือกับความผันผวนได้ดีกว่า

วจนะ ระบุว่า การลงทุนในตราสารนี้ต้องเลือกลงทุนในผู้จัดการกองทุนที่มีความยืดหยุ่น โดย UOB มีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจคือ United Global Dynamic Bond Fund (UDB) ที่ มีการปรับเปลี่ยนพอร์ตตามสภาวะการลงทุนอย่างยืดหยุ่น และพยายามทำให้พอร์ตของนักลงทุนเป็นบวกได้ในทุกสถานการณ์

บรรยากาศการเสวนา
 

หุ้นไม่ใช้ลงทุนไม่ได้

ศรายุทธ กล่าวว่า ถึงแม้ว่าหลายที่จะให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นน้อยกว่า แต่ไม่ใช่ว่าไม่สามารถลงทุนในหุ้นได้ การลงทุนในหุ้นยังสามารถเพียงแต่ต้องเลือกภูมิภาค โดย TMB มีมุมมองที่เป็นบวกกับตลาดหุ้นในกลุ่ม EM หรือตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะจีนและอินเดีย เนื่องจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศยังอยู่ในระดับสูงเมือเทียบกับประเทศอื่นๆ

ในขณะที่ตลาดหุ้นไทย TMB ปรับน้ำหนักขึ้นมาเล็กน้อย เนื่องจากการเลือกตั้งทำให้มีนายกรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อย สถานการณ์การเมืองนิ่ง และเริ่มเห็นเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย โดยเราชื่นชอบในหุ้นขนาดกลาง-เล็กมากกว่า ในขณะที่หากดูเป็นประเภท เราชอบหุ้นในกลุ่มสุขภาพ เพราะเรื่องสุขภาพเป็นเมกะเทรนด์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามการค้ามากนัก และมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง ส่วนสินทรัพย์ทางเลือกเรายังชอบ REITs และทองคำ

ศรายุทธกล่าวอีกว่า ถึงแม้อาจมีกระแสข่าวเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่มองว่าโอกาสเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวยังไม่ใช่ใน 1 ปีข้างหน้า เนื่องจากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจหลายประเทศยังเติบโต โดย TMB คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโต 2.4% ส่วนจีนและอินเดียเติบโต 6% โดยแนะนำลงทุนในจีน อินเดีย และไทย

 

เลือกลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่

ด้าน ดร.สมจินต์ กล่าวว่า หลายคนมองว่าจีนกำลังประสบปัญหาอยู่และไม่น่าลงทุนเท่าไรนัก แต่ต้องไม่ลืมว่าจีนเป็นประเทศใหญ่มาก สิ่งที่จะได้รับผลกระทบคือเรื่องการส่งออก แต่โครงสร้างเศรษฐกิจจีนในปัจจุบันไม่ได้พึ่งพาการส่งออกแล้ว อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจมาจากการบริโภคในประเทศโดยเฉพาะเทคโนโลยี จีนยังมีจำนวนชนชั้นกลางที่ขยายและเข้ามาอยู่ในเมืองมากขึ้น ทำให้มีธุรกิจใหม่ๆ ที่ให้ความสนใจคุณภาพชีวิตของคนเมือง ดังนั้น ธุรกิจใหม่เหล่านี้จุงเป็นธุรกิจที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน

โดยกองทุนที่มีความน่าสนใจมากคือ UBS (Lux) Equity Fund - China Opportunity ที่มีกลยุทธ์คือหลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเก่า และเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตได้แม้ระหว่างทางอาจเจอความผันผวน นอกจากนี้ยังลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรม เพราะมีโอกาสขยายตัวไปได้มากกว่า

สำหรับตัวอย่างธุรกิจใหม่ในจีน ได้แก่ ธุรกิจติวสอบเข้า TAL Education, บริษัท Tencent ที่ผลิตเกมมากมาย และธุรกิจประกัน ซึ่งเชื่อว่าไม่ว่าเจอกับความผันผวนใด ธุรกิจเหล่านี้จะยังมีการเติบโตต่อไป

 

กองทุนธุรกิจการแพทย์น่าสน

ขณะที่ วจนะ กล่าวว่า อีกธุรกิจที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนคือธุรกิจการแพทย์และดูแลสุขภาพ ที่ไม่ใช่แค่ยาที่เป็นปัจจัย 4 ของมนุษย์ แต่ยังขยายไปยังธุรกิจโรงพยาบาล อุปกรณ์การแพทย์ เครื่องเอกซเรย์ หรือผลิตภัณฑ์ยาใหม่ๆ

สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือในปี 1980 ประชากรโลกที่มีอายุเกิน 60 ปีมีประมาณ 360 ล้านคน ปี 2017 ประชากรกลุ่มนี้เพิ่มเป็นกว่า 900 ล้านคน และประมาณการว่าในปี 2050 ประชากรกลุ่มนี้จะมีมากกว่า 2 พันล้านคน ซึ่งมองว่าการใช้จ่ายเรื่องสุขภาพจะเพิ่มขึ้นด้วย

วจนะ ระบุอีกว่า ธนาคาร UOB แนะนำกองทุน United Global Healthcare Fund ที่เลือกลงทุนในธุรกิจที่มุ่งพัฒนานวัตกรรมเชิงการแพทย์ใหม่ๆ ซึ่งได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจน้อยมาก

 

บลจ.กสิกรไทย มองลงทุนหุ้นไทยยังบวก

นฤมล ว่องวุฒิพรชัย Associate Chief Investment officer บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า สำหรับ บลจ.กสิกรไทย มีมุมมองภาพรวมเศรษฐกิจคล้ายกับ TMB และ UOB ที่เฟดมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งทำให้สภาพคล่องมีแนวโน้มดีขึ้นและส่งผลต่อค่าเงินอย่างชัดเจน โดยปัจจุบันเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลง ส่วนเงินบาทแข็งค่าสุดในภูมิภาค จึงมีเม็ดเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาไทยมากขึ้น

ส่วนปัจจัยภายในคือการที่ไทยได้รัฐบาลใหม่เข้ามา ถึงแม้ไม่มีเสียงข้างมากที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดมากนัก แต่เสถียรภาพยังพอไปได้เพราะมีกฎหมายหลายตัวช่วยให้รัฐบาลบริหารงานได้ หลังจากนี้เชื่อว่าจะเห็นรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น และการบริโภคภายในประเทศจะช่วยให้เศรษฐกิจประคองตัวได้

นฤมล กล่าวอีกว่า บลจ.กสิกรไทยมอง SET index ในปีนี้อยู่ที่ 1,750 ซึ่งตอนนี้ตลาดก็เข้าใกล้เป้าที่เราตั้งไว้แล้ว ทั้งนี้ ในช่วงสั้นตลาดอาจมีความผันผวน จึงควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น ส่วนระยะยาวยังมองการลงทุนในหุ้นไทยเป็นบวก เพราะบริษัทจดทะเบียนยังมีกำไรเติบโตราว 10% อยู่ โดยธีมของการลงทุน บลจ.กสิกรไทยเน้นไปที่ธุรกิจในประเทศที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภค

กองทุนที่แนะนำคือ K-Star ที่ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลาง จุดเด่นคือมีการจับจังหวะซื้อขายโดยใช้หลักการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยพื้นฐาน มีการปรับเปลี่ยนการลงทุนข้ามเซกเตอร์ธุรกิจตามความผันผวน อีกกองทุนที่แนะนำคือ K-MidSmall ลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีมูลค่าตลาดไม่เกิน 8 หมื่นล้านบาท และมีโอกาสลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ได้ โดยหัวใจสำคัญของกองทุนนี้คือผู้จัดการกองทุนที่มีการทำการบ้าน เลือกหุ้นที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว มีฐานะทางการเงินมั่นคง

 

ลงทุนหุ้น ต้องถือข้ามช็อต

ธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการอำนวยการ บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ถึงแม้ตลาดจะมีความผันผวน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหุ้นเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด ซึ่งนักลงทุนต้องทำความเข้าใจคาแรกเตอร์ของการลงทุนในหุ้นด้วย

สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีแรกอาจไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ทั้งจากปัจจัยภายนอกคือเรื่องสงครามการค้า และปัจจัยภายในคือการเลือกตั้ง แต่ครึ่งปีหลังสถานการณ์ดีขึ้นเล็กน้อย ซึ่งจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นมีความผันผวนไปตามสถานการณ์ การลงทุนในหุ้นจึงเหมาะกับการถือข้ามช็อตให้ได้ในช่วงที่มีความผันผวน

ธีรนาถ กล่าวว่า สำหรับทิสโก้มองว่าสถานการณ์ในช่วง 12 เดือนนี้ยังสามารถลงทุนในหุ้นได้อยู่ แต่ต้องไม่ผลีผลามมาก โดยแนะนำกองทุน TISCOHD หรือกองทุนเปิด TISCO High Dividend ที่เลือกลงทุนในหุ้น 18 ตัวจากหุ้นใน SETHD 30 ตัว ซึ่งจะมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันโดยดูจาก Dividend Yield หรืออัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล ที่ตอบแทนสูงกว่า 10%

  อ่านเพิ่มเติม       รายงานโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine