อเบอร์ดีนแนะกลยุทธ์ลงทุน ถึงเวลาลุยหุ้นยั่งยืนเอเชีย - Forbes Thailand

อเบอร์ดีนแนะกลยุทธ์ลงทุน ถึงเวลาลุยหุ้นยั่งยืนเอเชีย

David Hanzl หัวหน้าทีมเอเชียแปซิฟิก บลจ. อเบอร์ดีน (abrdn) แนะกลยุทธ์ลงทุนช่วงตลาดโลกผันผวน เน้นกระจาย และบริหารความเสี่ยง หันมาให้ความสำคัญกับตลาดหุ้นเอเชียและตลาดเกิดใหม่ นำโดยจีน อินเดีย เน้นธีม ESG (Environment, Social, Governance) สร้างผลตอบแทนระยะยาว ขณะที่ตลาดไทย แนะนำหุ้นขนาดกลางและเล็ก ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ


    David Hanzl เป็นผู้มีประสบการณ์ในตลาดการเงินและการบริหารกองทุนรวมทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกมากกว่า 20 ปี ของอเบอร์ดีน ได้ให้สัมภาษณ์ถึงทิศทางและกลยุทธ์การลงทุนในภาวะที่ตลาดโลกมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะจากนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐที่มีการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่ยังทะยานอย่างต่อเนื่อง จนเกิดกรณีธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ที่ต้องปิดตัวลง หรือกรณีของธนาคารเครดิต สวิส

    “ขณะนี้คาดเดาได้ยากว่าธนาคากลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยอีกกี่ครั้ง แต่อเบอร์ดีนมองว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง เพื่อทำให้เงินเฟ้อชะลอตัว ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างอ่อน (Mild Recession) อย่างไรก็ตาม ปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐและยุโรปเป็นปัญหาเฉพาะตัว ที่รัฐบาลสหรัฐได้เข้าไปแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับธนาคารในสหรัฐมีฐานทุนแข็งแกร่ง ในภาวะที่ดอกเบี้ยสูง หุ้นธนาคารยังให้ผลตอบแทนที่ดี” David กล่าว

    ทั้งนี้ ในแง่การลงทุนต้องระมัดระวังหุ้นที่ความเสี่ยงสูง เน้นคุณภาพ และหุ้นที่เป็นผู้ชนะในตลาดนั้น ๆ ขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้ ต้องเลือกกลุ่มที่เป็น investment grade หรือเป็นบริษัทมั่นคง ผลประกอบการดี แต่ผลตอบแทนไม่สูงมาก ส่วนตราสารทุน แนะนำการลงทุนตลาดหุ้นจีน เอเชีย และตลาดเกิดใหม่ โดยประเทศน่าสนใจเป็นพิเศษคือ จีน

    เนื่องจากการบริโภคกำลังฟื้นตัวจากการเปิดประเทศหลังโควิด นโยบายการเงินผ่อนคลาย เงินเฟ้อต่ำ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จะทำให้เศรษฐกิจจีนมีเสถียรภาพมากที่สุดในโลก ส่วนประเทศในแถบเอเชียที่น่าสนใจอีกแห่ง คือ อินเดีย ที่มีประชากรวัยแรงงานอายุน้อย มีอัตราการบริโภคในประเทศสูงคล้ายกับจีน


เน้นกระจายความเสี่ยงลงทุน


    David กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนที่สำคัญที่ภาวะตลาดขณะนี้ ต้องคำนึงถึง 3 องค์ประกอบ คือ 1. กระจายการลงทุน เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เพราะแต่ละตลาดจะให้ผลลัพท์ด้านการลงทุนที่แตกต่างกัน เช่น ตลาดประเทศเกิดใหม่ ตลาดพัฒนาแล้ว หรือการลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นทางเลือก เช่น อสังหาริมทรัพย์ โครงการสร้างพื้นฐาน หรือการลงทุนในบริษัทนอกตลาด เป็นต้น 2. การบริหารความเสี่ยง แนวโน้มดัชนีปรับตัวลดลงในหลายภูมิภาค หัวใจสำคัญคือการเลือกหุ้นที่มีคุณภาพ และให้ผลตอบแทนที่ดี และ 3. การให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นเอเชีย โดยเฉาะจีน และตลาดเกิดใหม่ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง

    ปัจจุบัน อเบอร์ดีน มีกองทุนหุ้นจีนที่แนะนำ ได้แก่ กองทุนเปิด อเบอร์ดีน ไชน่า เน็กซ์ เจนเนอเรชั่น ฟันด์ (ABCNEXT) เน้นลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีการเติบโตสูง มีกองทุนเปิดอเบอร์ดีน ออล ไชน่า ซัสเทนเนเบิล เอคควิตี้ ฟันด์ (ABCG) เน้นการลงทุนหุ้นขนาดใหญ่และกลางของบริษัทจดทะเบียนในจีน

    โดยอเบอร์ดีนจะเน้นการใช้กระบวนการ ESG มาใช้ในการคัดเลือกหุ้นเพื่อลงทุน และในเดือนมิถุนายนนี้ มีแผนออกกองทุนใหม่ลงทุนหุ้นในจีนเพิ่มเติม ได้แก่ กองทุนไชน่า เอแชร์ ซันเทนเนเบิล เน้นหุ้นในตลาด H – Share หรือบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง รวมทั้งครึ่งปีหลังมีแผนออกกองทุนอาเซียน ซัสเทนเนเบิล และกองทุนอาเซียน ไฮยีลด์ เป็นต้น


ถึงเวลาให้น้ำหนักลงทุนหุ้น ESG


    “ทิศทางธุรกิจของอเบอร์ดีนจะให้ความสำคัญกับการลงทุนหุ้นยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย จีน และตลาดเกิดใหม่มากขึ้น เพราะเป็นจุดแข็งที่เราทำธุรกิจในภูมิภาคเอเชียมากว่า 30 ปี มานำเสนอเป็นโซลูชั่นให้กับลูกค้าได้” David ระบุ

    อเบอร์ดีน เตรียมนำจุดแข็งจากประสบการณ์ในการทำธุรกิจในภูมิภาคเอเชียมากว่า 30 ปี ค้นหาโซลูชั่นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รวมถึงจุดแข็งในด้าน ESG เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้า โดยธีมการลงทุนหุ้นยั่งยืน หรือ ESG เป็นทิศทางการเติบโตในระยะยาว เนื่องจากรัฐบาลหลายประเทศให้ความสำคัญกับนโยบายลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีผลต่อการลงทุนเช่นเดียวกัน

    “ธีมลงทุน ESG เหมือนกับธีมการลงทุนเรื่องดิจิทัล ที่เริ่มตั้งแต่ปี 1990 ใช้ระยะเวลา 20 - 30 ปี ในการสร้างผลตอบแทน แต่จุดสำคัญต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้”

    อเบอร์ดีน จะนำกลยุทธ์การลงทุนระดับโลกมานำเสนอแก่ลูกค้าไทย ผ่านกองทุนเปิดอเบอร์ดีน โกลบอล ไดนามิค ดิวิเดน ฟันด์ (ABGDD) ซึ่งเน้นหุ้นปันผลทั่วโลก เป็นกองทุนหลักที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ 5 – 6% ต่อปี โดยกองทุนในไทยจะจ่ายผลตอบแทนอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเสียภาษีเงินปันผล เป็นกองทุนที่จะนำมาแนะนำในตลาดประเทศไทยปีนี้ รวมถึงกองทุนหุ้นขนาดกลางและเล็ก ที่ได้ประโยชน์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมอล – มิดแค็พ (ABSM)

    นอกจากนี้ยังสร้างโมเดลพอร์ต เพื่อให้บริการกองทุนส่วนบุคคล ที่สามารถจัดพอร์ตตามความต้องการของนักลงทุนแต่ละราย โดยมีเงินลงทุนขั้นต่ำ 30 ล้านบาท เป็นต้น

    “บลจ.อเบอร์ดีน เน้นย้ำการนำความรู้ความเชี่ยวชาญมาบริหารจัดการกองทุน โดยเฉพาะการนำ ESG ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นดีเอ็นเอขององค์กร มาใช้ในกระบวนการลงทุน การคัดเลือกหุ้น การแนะนำการลงทุน ตลอดจนเป้าหมายการลงทุนของลูกค้าและความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนในการลงทุนหุ้นยั่งยืน” David กล่าว


อ่านเพิ่มเติม: L’Oreal ตั้งเป้าชิงเบอร์ 1 จาก Unilever ครองตลาดความงาม


ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine