จิตตะ เวลธ์ เผย 10 เมกะเทรนด์โลกที่ต้องลงทุน เป็นโอกาสทองสร้างพอร์ตให้เติบโตท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นไทยชะลอตัว ด้าน ‘ตราวุทธิ์’ ซีอีโอ Jitta Wealth ย้ำการลงทุนมากกว่าหนึ่งเมกะเทรนด์โลกช่วยกระจายความเสี่ยงของเงินลงทุนในระยะยาว และไม่ทำให้นักลงทุนพลาดโอกาสทอง
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด หรือ Jitta Wealth สตาร์ทอัพ WealthTech แรกของไทยที่ได้รับอนุญาตบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยชะลอตัวต่อเนื่อง และสถานการณ์ในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น และมองหาช่องทางการลงทุนในต่างประเทศกันมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำทิศทางโลกในอนาคต มีแนวโน้มเติบโตสูง ที่จะสร้างผลตอบแทนดีให้นักลงทุนได้ในระยะยาว หรือที่เรียกกันว่า ธุรกิจเมกะเทรนด์ เมกะเทรนด์ (Megatrend) หรือ กระแสการเปลี่ยนแปลงระดับมหภาค ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม ธุรกิจ วัฒนธรรม และชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน จึงกลายมาเป็นกระแสหลักของการลงทุนยุค New Normal อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อไม่ให้นักลงทุนพลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนตามทิศทางการเปลี่ยนแปลงของเมกะเทรนด์โลก (Global Megatrend) Jitta Wealth จึงได้ค้นคว้าและรวบรวม 10 เมกะเทรนด์โลก ที่ทุกคนควรลงทุน ประกอบด้วย 1) ธุรกิจสหรัฐอเมริกา ลงทุนในหุ้นของบริษัทสหรัฐฯ 2) ธุรกิจอินเดีย ลงทุนในหุ้นของบริษัทอินเดีย 3) ธุรกิจจีน ลงทุนในหุ้นของบริษัทจีน 4) ธุรกิจสุขภาพ (Healthcare) ลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น บริษัทยา และผู้ผลิตเครื่องมือการแพทย์ 5) ธุรกิจหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของนวัตกรรมหุ่นยนต์และ AI 6) ธุรกิจคลาวด์ (Cloud) ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจกับเทคโนโลยีคลาวด์ ครอบคลุม SaaS PaaS และ IaaS 7) ธุรกิจเทคโนโลยี (Technology) ลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ และเข้ามาเปลี่ยนแปลงสังคมในวงกว้าง 8) ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ลงทุนในหุ้นของบริษัทค้าปลีกทั่วโลกที่มีรายได้หลักมาจากการค้าขายออนไลน์ 9) ธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินจากทั่วโลก 10) ธุรกิจเกมและอีสปอร์ต (E-Sports) ลงทุนในหุ้นของบริษัทในวงการเกมและอีสปอร์ต เช่น ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และผู้เผยแพร่เกม ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง Jitta Wealth กล่าวว่า “ในยุค New Normal นี้ นักลงทุนต้องปรับกลยุทธ์ให้ทันสมัยมากขึ้น นอกจากการจัดสรรสินทรัพย์และกระจายความเสี่ยงลงทุนให้ทั่วโลกแล้ว นักลงทุนอาจพิจารณาเจาะกลุ่มลงทุนตามเมกะเทรนด์หลักๆ ของโลก เพื่อเพิ่มผลตอบแทนระยะยาวให้สูงขึ้นด้วย ซึ่ง 10 กลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ที่ Jitta Wealth ได้รวบรวมมาให้นั้น ต่างเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด 19 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะกลายเป็นเสาหลักของโลกในอนาคต” ทั้งนี้ Jitta Wealth เล็งเห็นว่า การลงทุนตามเมกะเทรนด์โลก จำเป็นต้องกระจายเงินลงทุนไปหลายๆ ประเทศ ทำให้ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นสูง ค่าธรรมเนียมสูง และขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยาก จึงได้เปิดตัว กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth Thematic ให้นักลงทุนไทยได้ลงทุนในธุรกิจทั่วโลก ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงตามเมกะเทรนด์ โดยนักลงทุนสามารถเลือกลงทุน (Mix & Match) ได้มากถึง 5 กลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ในพอร์ตเดียว จาก 10 เมกะเทรนด์ที่ Jitta Wealth รวบรวมมาให้ โดยลงทุนผ่าน ETF ที่ดีที่สุดที่คัดสรรมาแล้ว ได้แก่ -ธุรกิจสหรัฐฯ ลงทุนผ่านกองทุน Schwab U.S. Large-Cap ETF -ธุรกิจจีน ลงทุนผ่านกองทุน iShares MSCI China ETF -ธุรกิจอินเดีย ลงทุนผ่านกองทุน WisdomTree India Earnings Fund ETF -ธุรกิจสุขภาพ ลงทุนผ่านกองทุน iShares Global Healthcare ETF -ธุรกิจหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ ลงทุนผ่านกองทุน iShares Robotics and Artificial Intelligence Multisector ETF -ธุรกิจคลาวด์ ลงทุนผ่านกองทุน WisdomTree Cloud Computing Fund -ธุรกิจเทคโนโลยี ลงทุนผ่านกองทุน iShares Exponential Technologies ETF -ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ลงทุนผ่านกองทุน ProShares Online Retail ETF -ธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงิน ลงทุนผ่านกองทุน Global X FinTech ETF -ธุรกิจเกมและอีสปอร์ต ลงทุนผ่านกองทุน Global X Video Games & E-sports ETF เพื่อลดความผันผวน กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth Thematic จะจัดสัดส่วนของแต่ละกลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ที่นักลงทุนเลือกให้เหมาะสม และบริหารจัดการด้วยระบบระบบอัตโนมัติ (Automated Investing) ที่จะคอยดูแลปรับพอร์ตให้สัดส่วนสมดุลอยู่เสมอ เงินปันผลที่ได้จากการลงทุน ระบบก็จะนำไปลงทุนต่อให้อัตโนมัติ เปรียบเสมือนการให้เงินทำงานทันที อีกทั้งยังสามารถเพิ่มทุนหรือถอนเงินเมื่อใดก็ได้ ระบบจะคำนวณสัดส่วนพอร์ตให้นักลงทุนสะดวกสบาย ช่วยนักลงทุนรักษาวินัยการลงทุนที่ดี ทำให้พอร์ตเติบโตตามหลักการลงทุนที่ถูกต้องในระยะยาวได้ โดยเริ่มต้นลงทุนเพียง 100,000 บาท และมีค่าธรรมเนียมบริหารจัดการเพียง 0.5% ต่อปีเท่านั้น “กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth Thematic เป็นทางเลือกการลงทุนตามเมกะเทรนด์แนวใหม่ที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ เพราะลงทุนเริ่มต้นเพียง 100,000 บาท แต่สามารถออกแบบพอร์ตกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) ลงทุนเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่ตนเองเชื่อมั่น เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวอย่างที่ต้องการได้เลย ที่สำคัญคือ ไม่ต้องรักพี่เสียดายน้อง เพราะเลือกลงทุนได้ถึง 5 เมกะเทรนด์ในพอร์ตเดียว ติดตามผลการลงทุนได้ทันที เพิ่มทุน ถอนทุน หรือ DCA ง่ายสะดวกสบายด้วยเทคโนโลยี และยังช่วยกระจายความเสี่ยง ลดความผันผวนของพอร์ตด้วยระบบการทำงานอัตโนมัติ ดังนั้นเมื่อลงทุนกับ Jitta Wealth Thematic แล้ว นักลงทุนจึงใช้ชีวิตได้เต็มที่ รับมือยุค New Normal ได้อย่างสบายใจ” ตราวุทธิ์ กล่าว อ่านเพิ่มเติม: Peak Oil อาจกำลังมาถึงในอนาคตอันใกล้ไม่พลาดบทความด้านกลยุทธ์องค์กรและธุรกิจ ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine และ ทวิตเตอร์ Forbes Thailand