การเดินทางของเด็กสยาม ‘ชุติมา-นันทนัช’ สู่บริษัท “รวยไม่หยุด” กับแผนก้าวสู่ธุรกิจผู้นำธุรกิจอาหารเมืองไทย
หากเอ่ยชื่อบริษัท รวยไม่หยุด จำกัด อาจจะไม่คุ้นหูนัก แต่หากพูดถึง ‘nice two Meat u’ แบรนด์ปิ้งย่างชื่อดังจากเกาหลีใต้คงไม่มีใครไม่รู้จัก ซึ่ง ‘nice two Meat u’ ถือเป็นธุรกิจที่ 9 ของ ชุติมา เปรื่องเมธางกูร ที่ร่วมลงทุนกับ นันทนัช เอื้อศิริทรัพย์ รุ่นพี่ รุ่นน้องจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ ที่มาเจอกันอีกครั้งในการเรียนหลักสูตรบริหารการลงทุนของ Tisco Wealth และเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจรวยไม่หยุด ชุติมา และ นันทนัช ถือเป็นเด็กสยามตัวจริง ที่ใช้ชีวิต กิน เที่ยวตลอดจนทำธุรกิจในสยามสแควร์ โดยเฉพาะ ชุติมา ที่เคยทำธุรกิจในสยามฯมาแล้วถึง 8 ธุรกิจ จนมาประสบความสำเร็จกับธุรกิจที่ 9 นั่นก็คือ ‘nice two Meat u’ แฟรนไชส์ร้านปิ้งย่างจากเกาหลีใต้ ที่ได้ร่วมทุนกับ นันทนัช และถือเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ สามารถมีกำไรได้ภายใน 6 เดือนแรก และต่อยอด ขยายสาขา และแบรนด์ใหม่ ๆ ให้กับ รวยไม่หยุด กรุ๊ป อย่างต่อเนื่อง จากส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างคนทั้งสองคน จนสร้างธุรกิจให้เติบโต ชุติมา เปรื่องเมธางกูร ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จบปริญญาโทด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม จากมหาวิทยาลัยบอสตัน ส่วน นันทนัช เอื้อศิริทรัพย์ จบปริญญาตรีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเรียนต่อด้านการบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ด้วยพื้นฐานการเรียนที่แตกต่างกัน แต่ชอบกินอาหารเหมือนกัน เมื่อมาทำธุรกิจด้วยกันจึงเป็นส่วนผสมที่ลงตัว สำหรับโครงสร้างธุรกิจของรวยไม่หยุด กรุ๊ป ประกอบด้วย บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด ผู้บริหารร้าน ‘nice two Meat u ’ ปัจจุบันมี 11 สาขา และ nice two Sea u 1 สาขา บริษัท รวยสบายสบาย จำกัด ผู้บริหารแบรนด์ชานม “Fire Tiger” มี 17 สาขาในประเทศไทย และต่างประเทศ 12 สาขา 3 E Bomb 1 สาขา บริษัท รวยปังปัง จำกัด ผู้บริหารร้าน Mil Toast House ปัจจุบันมี 3สาขา จะเปิดอีก 3 สาขาในปีนี้ และบริษัท รวยแสนล้าน ตำลึงทอง จำกัด แบรนด์ต้าถัง ฮอทพอต 1 สาขา และเปิดแบรนด์ใหม่นำเข้าจากเกาหลีใต้ Dalmatian ในสไตล์ Korean Brunch & Dessert Bar ที่จะเปิดในเดือนพฤศจิกายน 2565สร้างธุรกิจร้านอาหารแบบเทรนดี้
“การทำร้านอาหาร ต้องทำให้ลูกค้ากลับมากินซ้ำ” นันทนัช กล่าวถึงแนวทางการทำธุรกิจของ รวยไม่หยุด กรุ๊ป และสิ่งสำคัญที่จะทำลูกค้ากลับมากินซ้ำ อย่างแรกรสชาติต้องถูกปาก คุณภาพอาหารต้องดี อย่างที่สองบริการต้องดีที่สุด และสิ่งสำคัญอย่างที่สาม ต้องซื่อสัตย์กับลูกค้า และในปัจจุบันสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการทำธุรกิจร้านอาหาร คือต้องตามทันกระแส (เทรนดี้) อยู่ตลอดเวลา “คนเจนใหม่ เบื่อง่าย ดังนั้นธุรกิจร้านอาหารมีวงจรที่สั้นลง ดังนั้นต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลาให้ทันกระแส เพิ่มเมนูใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า สร้างกระแสอยู่เรื่อยๆ ผ่านโซเชี่ยล มีเดีย ซึ่งโชคดีว่าแบรนด์ของเราเป็นที่นิยมในหมู่เซเลบริตี้ และอินฟลูเอนเซอร์ เราจึงได้พื้นที่ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อฟรีอยู่ตลอดเวลา” ชุติมากล่าว ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้การถ่ายรูปอาหาร เครื่องดืม ขนมต่างๆ ลงโซเชียลมีเดีย กลายเป็นพฤติกรรมปกติของคนรุ่นใหม่ และส่งผลดีต่อธุรกิจของรวยไม่หยุด กรุ๊ป ที่ผู้บริหารทั้งสองคนเข้าใจ และหยิบเทรนด์ตรงนี้มาสร้างธุรกิจอย่างพิถีพัน ทั้งการสร้างสรรค์เมนู รสชาติอาหาร การดีไซน์ ออกแบบ ตกแต่งร้าน ที่สามารถยึดพื้นที่บนโซเชียลได้ตลอด และเป็นกระแสที่ดึงคนไปใช้บริการที่ร้านอย่างไม่ขาดสาย นันทนัช ในฐานะผู้ดูแลการดีไซน์ ออกแบบ ตกแต่งร้าน เล่าให้ฟังว่า ตอนที่สร้างร้าน Fire Tiger ได้ออกแบบหัวเสือสีทอง ซึ่งปฏิมากรรมหัวเสือได้ถูกจดลิขสิทธิเรียบร้อยแล้ว ให้เป็นเคาน์เตอร์ที่จะส่งชานมให้กับลูกค้าผ่านปากเสือเท่านั้น นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งในการสร้างจุดขายที่แตกต่างของรวยไม่หยุด กรุ๊ป ทำให้ภาพของร้านได้ลงอินสตราแกรมอยู่เสมอ และความโดดเด่นของ Fire Tiger ซึ่งเป็นแบรนด์ที่คิดขึ้นเองของบริษัท ได้รับความสนใจจากนักลงทุนในประเทศต่าง ๆ มาขอซื้อแฟรนไชส์จำนวนมาก ปัจจุบันมีสาขาที่อินโดนีเซีย มาเลเซีย กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอเมริกา อีกแนวทางที่สำคัญที่ทั้งสองคนยึดถือ คือศาสตร์ของฮวงจุ้ย ที่มีซินแสคอยชี้แนะทั้งการตั้งร้าน สร้างแมสคอต ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์มงคล หมู เสือ ปู รวมถึงเบอร์โทรของร้าน ซึ่งทั้งสองคนเชื่อว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ และสร้างความแตกต่างในการทำธุรกิจร้านอาหารของรวยไม่หยุด กรุ๊ปก้าวสู่การเติบโตอย่างแข็งแรง
ชุติมา กล่าวว่า ในช่วง 2–3 ปีที่เกิดสถานการณ์โควิด ทำให้ธุรกิจร้านอาหารได้รับผลกระทบ ซึ่งรวยไม่หยุดกรุ๊ป พยายามปรับตัว เพิ่มบริการเดลิเวอรี่ และการร่วมมือกับแบรนดอื่น ๆ ในการทำตลาดร่วมกัน ทำให้บริษัทยังดูแลพนักงานทั้งหมดเกือบ 1,000 คนไว้ได้ โดยไม่มีการปลดพนักงานออก ขณะเดียวกันได้ให้ความสำคัญกับการขยายสาขาของร้าน Fire Tiger ในต่างประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับดี ทำให้การขยายสาขาแบรนด์อื่นๆ ชะลอตัว แต่วันนี้เมื่อสถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ จากนี้บริษัทจะมุ่งขยายสาขาแฟรนไชส์ร้านต่างๆ จากเกาหลี ที่มองว่ายังมีโอกาสอีกมาก “วันนี้ เราอยู่ระหว่างการเตรียมพร้อม ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ขยายเพิ่มส่วนงานต่าง ๆ เพื่อรองรับการเข้าสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อที่จะขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วขึ้น” ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นับจากเงินลงทุนก้อนแรกหลักสิบล้านบาท รวยไม่หยุด กรุ๊ป ขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องใช้เงินกู้ แต่ใช้วิธีการลงทุนแบบระมัดระวัง ทำให้การขยายสาขาในประเทศไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก ประกอบกับต้องการสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง และควบคุมคุณภาพทั้งสินค้าและบริการให้มีมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา และพยายามสร้างพอร์ตให้มีความหลากหลาย ให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ในทุกกลุ่ม ซึ่งจะทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง “นับตั้งแต่ช่วงโควิดเรายังเติบโตในอัตรา 20-30% ต่อปี ขณะที่ปีนี้เริ่มเห็นการกลับมาเติบโตสูงในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 50% จากการผ่อนคลายมาตรการโควิด และเริ่มมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา ซึ่งลูกค้าหลักของกลุ่มส่วนหนึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วย” ชุติมากล่าว สำหรับความสุขของผู้บริหารทั้งสองคน ยังสนุกกับการเดินทางไปสรรหาแบรนด์ใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภคชาวไทย โดยเฉพาะแบรนด์จากประเทศเกาหลีใต้ ที่ยังมีโอกาสอีกมากจากกระแสเคป็อบที่นับวันยิ่งแข็งแรงมากขึ้น รวมทั้งผู้บริหารสาวทั้งสองคนยังเป็นแฟนตัวยงของวงบีทีเอส บอยแบนด์ชื่อดังจากเกาหลีใต้อีกด้วย ส่วนเป้าหมายในเชิงธุรกิจของรวยไม่หยุดกรุ๊ป ทั้งสองสาวมีความมุ่งมั่นอย่างมากที่จะก้าวขึ้นเป็นท็อป ทรีของวงการธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของเมืองไทย และเชื่อว่าวันนี้พวกเธอได้ก้าวสู่การเป็นแบรนด์ชั้นนำที่เป็นท็อป ออฟ มายด์ ของคนไทยและคนต่างชาติอีกด้วย อ่านเพิ่มเติม: การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ฟื้นตัว แนะไทยชิงตลาดตะวันออกกลางไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine