ตลาดโปรดักต์ HIGH PROTEIN ในไทยพุ่งแรง! มูลค่าแตะ 4,300 ล้านบาท หลังกระแสออกกำลังกายมาแรง ความต้องการเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพพุ่ง

ตลาดโปรดักต์ HIGH PROTEIN ในไทยพุ่งแรง! มูลค่าแตะ 4,300 ล้านบาท หลังกระแสออกกำลังกายมาแรง ความต้องการเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพพุ่ง

FORBES THAILAND / ADMIN
25 Dec 2025 | 02:30 PM
READ 108

เต็ดตรา แพ้ค เผยอินไซด์ กระแสออกกำลังกายมาแรง ความต้องการเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพพุ่ง ดันมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์โปรตีนสูงในไทย แตะ 4,300 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 126% ภายใน 2 ปี


    เต็ดตรา แพ้ค อ้างอิงรายงานจาก PRECEDENCE RESEARCH โดยระบุว่า ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั่วโลก (Food Supplements and Nutrition: FSN) ซึ่งครอบคลุมผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องดื่มโปรตีนสูง เครื่องดื่มเสริมวิตามิน และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพจะมีมูลค่าแตะ 758.99 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2034 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี

    โดยประเทศไทยได้สะท้อนภาพรวมของตลาดโลกอย่างชัดเจน โดยเฉพาะตลาดผลิตภัณฑ์โปรตีนสูง  (High Protein) ที่มูลค่าแตะ 4,300 ล้านบาทในช่วงกลางปี 2025 เติบโตมากกว่า 126% ภายใน 2 ปี ซึ่งมาจากกระแสการออกกำลังกายที่มาแรง ผลักดันให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพกลายเป็นตัวเลือกในชีวิตประจำวันของคนไทย

    เต็ดตรา แพ้ค ยังได้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคทั่วโลกเพื่อค้นหาเทรนด์และความต้องการที่กำลังกำหนดทิศทางอนาคตของตลาด เพื่อช่วยสนับสนุนผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มให้เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะช่วยสร้างโอกาสเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้

    โดยพบว่า ตลาดอาหารเสริมและโภชนาการกำลังเผชิญกับการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญจากพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลก แรงกระตุ้นจากผู้บริโภค และรสชาติท้องถิ่น มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไม่เพียงเพราะคุณประโยชน์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ แต่ยังคำนึงถึงความรู้สึกทางอารมณ์ แรงบันดาลใจ และความเชื่อมั่นในคุณค่าที่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มอบให้

    ผลสำรวจล่าสุดเผยให้เห็นว่า ผู้บริโภคกำลังมองผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้านมากขึ้น โดยปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของผู้บริโภค ได้แก่ 58% คำนึงถึงสุขภาพที่แข็งแรง ตามด้วย 51% มองที่การได้สารอาหารครบถ้วนในแต่ละวัน และ 47% มองว่าต้องสามารถให้พลังงานที่ดีและเพียงพอในวันที่วุ่นวายฃ

    ผู้บริโภคยังมองไปถึงการเสริมสุขภาวะทางจิตใจและสมรรถภาพทางกายที่ดีขึ้น การให้ความมั่นใจทางอารมณ์จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ โดย 42% ต้องการรู้สึกว่าสามารถควบคุมสุขภาพของตนเองได้ ขณะที่ 39% ต้องการความสบายใจเรื่องโภชนาการ และ 30% ต้องการความรู้สึกสมดุลหรือผ่อนคลายมากขึ้น

    นอกเหนือจากปัจจัยด้านสุขภาพแล้ว ความสะดวกในการใช้งานก็มีบทบาทสำคัญ โดยผู้บริโภค 21% ต้องการสินค้าที่เหมาะกับการใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ และ 18% กล่าวว่าผลิตภัณฑ์ที่ช่วยประหยัดเวลาในการเตรียมอาหารหรือของว่างมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ

    ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่ดื่มได้กำลังได้รับความนิยมสูงในกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ โดย 59% แสดงความสนใจในทางเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่พร้อมดื่ม ความโดดเด่นในเรื่องของการใช้งานที่บริโภคได้ง่าย ไม่ต้องเตรียมการมาก และสะดวกในการเก็บหรือพกพา เหมาะสำหรับการบริโภคระหว่างวัน ซึ่งสำหรับประเทศไทย ผลิตภัณฑ์พร้อมดื่มแบบพาสเจอไรซ์ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 96%

    อย่างไรก็ดี ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบยูเอชที (UHT) กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในกลุ่มเครื่องดื่มโปรตีนสำหรับไลฟ์สไตล์ประจำวันเช่นกัน สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคในประเทศไทยที่ต้องการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่พกพาสะดวก เข้าถึงง่าย พร้อมความแข็งแรงของบรรจุภัณฑ์และอายุการเก็บรักษาที่ยาวนานขึ้น


    Anna Larsson หัวหน้าฝ่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์ บริษัท เต็ดตรา แพ้ค ให้ความเห็นว่า “ความสะดวกยังคงเป็นความคาดหวังพื้นฐานของผู้บริโภค สำหรับแบรนด์ต่างๆ นี่คือโอกาสที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่สะดวกและทันสมัย เพื่อตอบสนองความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปและมอบคุณค่าเพิ่มให้กับลูกค้า อย่างไรก็ตาม ความสนใจในหมวดหมู่นี้ไม่ได้มีแค่เรื่องความสะดวกเพียงอย่างเดียว โดย 71% ของผู้บริโภคกล่าวถึงความชื่นชอบต่อผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไปจากส่วนผสมธรรมชาติมากกว่าสารสังเคราะห์ที่ได้ผลเร็ว และยินดีจ่ายในราคาที่สูงขึ้นอีกด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในการมองหาผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นคุณค่าและสนับสนุนการมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน”

    จากการศึกษานี้ ชี้ให้เห็นถึงจุดที่ผู้บริโภคยังมีความกังวล ซึ่งบรรจุภัณฑ์สามารถช่วยแก้ไขได้ ตั้งแต่เรื่องความอ่อนไหวต่อราคา ความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ ความสะดวกในการใช้งาน ไปจนถึงความโปร่งใสของส่วนผสม โดยมีผู้บริโภคถึง 63% ที่นิยมบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปแบบเดิมที่พร้อมดื่ม บรรจุภัณฑ์แบบขนาดพกพาและเก็บได้นานจึงตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างลงตัว

    ด้าน สุภนัฐ รัตนทิพ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) กล่าวว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีสัดส่วนการเติบโตที่รวดเร็วมากในประเทศไทย จากตลาดเฉพาะกลุ่ม กลายเป็นทางเลือกด้านสุขภาพที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในทุกเจเนอเรชัน เป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ผลิตไทยในการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการทั้งความสะดวก รวดเร็ว และสามารถบริโภคได้ทุกที่ทุกเวลา

    โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ยูเอชที ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องการเก็บรักษาได้นาน พกพาไปได้ง่าย พร้อมปกป้องคุณภาพได้ดี ไปจนถึงรูปแบบที่บรรจุในกล่องกระดาษที่มีน้ำหนักเบาและสะดุดตาบนชั้นวางสินค้ามากกว่ารูปแบบอื่นๆ โดยเต็ดตรา แพ้ค ได้ทำงานเคียงข้างแบรนด์ต่างๆ เพื่อช่วยตอบสนองความต้องการเหล่านี้ ตั้งแต่การให้คำแนะนำข้อมูลเชิงลึก การพัฒนาสูตร รูปแบบผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงโซลูชันบรรจุภัณฑ์ เพื่อช่วยให้ผู้ผลิตสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคและโดดเด่นในตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วนี้ได้อย่างแท้จริง



ภาพ: เต็ดตรา แพ้ค



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : รสชาติ สุขภาพ ความยั่งยืน Gen Z และ Millennials ดันตลาดกาแฟพร้อมดื่มในเอเชียแปซิฟิกโตแรง คาดมูลค่าแตะ 6.5 แสนล้านบาท ในปี 2573

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine