ไทยเบฟแถลงผลประกอบการปี 2559-2560 ยอดขาย 1.42 แสนล้านบาท หดตัว 6% พิษสถานการณ์ตลาดไม่อำนวย แต่กำไรสุทธิยังเติบโต 3.1% “ฐาปน” นำทีมเดินหน้าตามแผน “Vision 2020” จัดทัพกลุ่มสุราบุกเอเชีย ประเดิมสินค้าเรือธง “เหล้ารวงข้าวซิลเวอร์” ปั้นให้เป็นสุราไทยระดับโลก
ฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) นำทีมผู้บริหารทุกกลุ่มสินค้าขึ้นเวทีแถลงผลประกอบการประจำปีและกลยุทธ์ตามแผน Vision 2020
สำหรับผลประกอบการปี 2560 รอบ 9 เดือนแรก ฐาปนกล่าวว่า ไทยเบฟมียอดขาย 142,460 ล้านบาท ลดลง 6% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 21,117 ล้านบาท เติบโต 3.1% ซึ่งยอดขายที่ลดลงคาดว่าเกิดจากสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์ภายในประเทศไทย อย่างไรก็ตามบริษัทมีการจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพจึงทำให้กำไรสุทธิยังคงเป็นบวก
ฐาปน เปิดเผยว่า ช่วงสิบปีที่ผ่านมา ไทยเบฟมีการปรับตัวในหลายด้าน จากบริษัทที่เน้นสินค้าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และมุ่งเน้นตลาดประเทศไทย ปัจจุบันเป็นบริษัทที่เน้นธุรกิจทั้งเครื่องดื่มและอาหารตามแผนการ “Vision 2020” ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2557 มีเป้าหมายเพื่อเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มและอาหารในอาเซียนภายในปี 2563
โดยปี 2560-61 มีกลยุทธ์ไฮไลต์ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่คือ เหล้าขาวรวงข้าวซิลเวอร์ ปรับผลิตภัณฑ์ให้มีความพรีเมียมมากขึ้นเหมาะสำหรับการนำออกสู่ตลาดต่างประเทศ มุ่งหวังสร้างแบรนด์ให้สุราขาวของไทยติดตลาดสากล ในรูปแบบเดียวกับที่เม็กซิโกเคยสร้างให้เตกีล่าเป็นที่รู้จักในระดับโลก
ฐาปนกล่าวต่อว่า สำหรับไตรมาสสุดท้ายต่อเนื่องถึงช่วงปีหน้า เชื่อว่าตลาดมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และปีหน้าตลาดจะกลับมาสู่ช่วงปกติสามารถทำการตลาดได้ดังเดิม ส่วนของการลงทุนในปี 2560-61 บริษัทเตรียมงบลงทุนไว้ 7,400 ล้านบาทเพื่อขยายไลน์ผลิตโดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และปรับปรุงสายการผลิตเดิม
ขณะที่การปรับขึ้นของภาษีสรรพสามิต ยอมรับว่าจะกระทบผู้บริโภคทั้งกลุ่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์และน้ำหวานแน่นอน แต่จะเป็นช่วงสั้นๆ ก่อนที่ผู้บริโภคจะเริ่มปรับตัวได้กับราคาใหม่ ซึ่งปัจจุบันหมวดสินค้าที่บริษัทปรับขึ้นราคาแล้วคือกลุ่มสุรา (เหล้าขาว-เหล้าสี) ที่ปรับขึ้นเฉลี่ย 2% ส่วนกลุ่มเบียร์และกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ยังพิจารณาราคาใหม่อยู่
“การปรับขึ้นภาษีไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นตั้งแต่เราทำการค้ามา ดังนั้นเราต้องมีการบริหารจัดการต้นทุนของตนเอง แน่นอนว่าการปรับขึ้นจะกระทบตลาดแน่นอน ตลาดอาจจะนิ่งๆ ไปสักพักในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นจะค่อยๆ ปรับตัวได้กับราคาใหม่ สำหรับรายได้และกำไร แน่นอนว่าบริษัทต้องการให้เติบโตควบคู่กันไป แต่ทุกอย่างต้องอิงตามสถานการณ์เศรษฐกิจด้วย คิดว่าทุกบริษัทต้องปรับตัวไม่ต่างกัน ส่วนของไทยเบฟเองเมื่อรายได้เข้ามาไม่ตามเป้า สิ่งที่เราทำคือต้องรัดเข็มขัดให้ดี สะท้อนเป็นกำไรสุทธิที่ยังเติบโต” ฐาปนกล่าว
ส่งเหล้าขาวไทยลงสนามสากล
ด้าน
ประภากร ทองเทพไพโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจสุรา บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ เปิดเผยว่า เหล้ารวงข้าวซิลเวอร์ จะเริ่มวางขายเดือนพ.ย.นี้ มีการปรับแพคเกจจากขวดสีน้ำตาลเป็นขวดใสพร้อมกล่องกระดาษและปรับรสชาติเพื่อเจาะตลาดกลุ่มพรีเมียมและให้ภาพลักษณ์สากล ซึ่งจะเริ่มนำไปทำตลาดประเทศเวียดนามและกลุ่มเอเชียเหนือ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น
สำหรับความคืบหน้าการทำตลาดสุราในอาเซียนตามแผน Vision 2020 บริษัทได้ก่อตั้งบริษัทลูกคือ
International Beverage Vietnam Company ที่ประเทศเวียดนามเมื่อปี 2559 ปัจจุบันยังรอรับใบอนุญาตจัดจำหน่ายสุราในเวียดนามที่คาดว่าจะได้รับภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่ประเทศเมียนมามีเป้าหมายที่จะเข้าไปตั้งแหล่งผลิตสุราในอนาคต ส่วนที่ฟิลิปปินส์จะเป็นระบบพันธมิตรจัดจำหน่าย
กลุ่มเบียร์เล็งควบรวมกิจการ
Edmond Neo Kim Soon กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจเบียร์ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ เปิดเผยว่า ตามเป้าหมายต้องการเป็นผู้จำหน่ายเบียร์อันดับ 1 ในอาเซียนในแง่ปริมาณการขายภายในปี 2020 ที่ผ่านมาไทยเบฟซึ่งมีผลิตภัณฑ์หลักคือ เบียร์ช้างและเบียร์เฟดเดอบรอย ได้ใช้กลยุทธ์การจัดกิจกรรมต่างๆ มาตลอด เช่น คอนเสิร์ต เทศกาล ผู้สนับสนุนทีมฟุตบอลทีมชาติไทย กิจกรรมบนสื่อโซเชียล และในช่วงปลายปีนี้จะเริ่มกลับมาจัดกิจกรรมอีกครั้งเพื่อตอกย้ำแบรนด์
และกลยุทธ์อีกส่วนคือนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบแพคเกจใหม่ให้น่าสนใจขึ้น เช่น เปลี่ยนสีขวดเป็นสีเขียวเพิ่มความพรีเมียม เบียร์ช้างขวดแชมเปญ ลายแพคเกจใหม่ตามเทศกาล หรือการตั้งหัวจ่ายเบียร์ช้างดราฟท์ในร้านสะดวกซื้อแฟมิลี่มาร์ทซึ่งปัจจุบันมีแล้ว 20 สาขา และอาจจะขยายไปยังร้านสะดวกซื้ออื่นๆ ได้ในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ ในรอบปีที่ผ่านมาเนื่องจากสถานการณ์ในประเทศทำให้ยอดขายกลุ่มเบียร์ลดลงราว 8% แต่เชื่อว่าตั้งแต่ปลายปีนี้ไปตลาดน่าจะปรับตัวดีขึ้นได้ ส่วนแผนการในตลาดอาเซียน ปัจจุบันกลุ่มไทยเบฟเป็นผู้เล่นอันดับ 4-5 ซึ่งการจะขึ้นเป็นอันดับ 1 ภายในปี 2020 ได้ ไม่เพียงแต่ต้องเร่งยอดขายของแบรนด์ที่มีอยู่เดิม แต่จะต้องอาศัยการควบรวมกิจการร่วมด้วยซึ่งบริษัทมีการเจรจาอยู่ขณะนี้
ปั้นกลุ่มร้านอาหารโต 2 เท่า
นงนุช บูรณะเศรษฐกุล กรรมการผู้อำนวยการ ธุรกิจอาหาร ประเทศไทย บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ เปิดเผยว่า สำหรับกลุ่มอาหารเป็นกลุ่มน้องใหม่ในไทยเบฟ ปัจจุบันสร้างรายได้ราว 7 พันล้านบาท โดยมีโออิชิ กรุ๊ป เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นแกนหลัก ก่อนที่เมื่อปี 2558 จะมีการจัดตั้งบริษัท ฟู้ด ออฟ เอเชีย จำกัด เพื่อสร้างความหลากหลายให้พอร์ตอาหาร แตกไลน์สู่ร้านอาหารประเภทอื่นที่ไม่ใช่อาหารญี่ปุ่นและครบทุกเซ็กเมนต์ เช่น Food Street ซึ่งเป็นแบรนด์ฟู้ดคอร์ท, So Asean เป็นร้านที่รวมอาหารชาติในอาเซียน, MX cakes&bakery จำหน่ายอาหารประเภทเบเกอรี่ และยังขยายไปถึงร้านอาหารระดับบน (Fine Dining) ที่บริษัทเตรียมจะเปิดแบรนด์ใหม่เป็นร้านอาหารไทย
นอกจากนี้ ดีลการซื้อกิจการ KFC จากยัม เรสเทอรองตส์ที่จะเสร็จสิ้นเป็นทางการช่วงสิ้นปี จะเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโตของกลุ่มอาหารในเครือไทยเบฟ กลยุทธ์หลังจากนี้ของกลุ่มจะเป็นการเร่งขยายสาขา และมองโอกาสในการควบรวมกิจการอื่นๆ เพิ่ม ตั้งเป้าเติบโต 2-3 เท่าจากรายได้ปัจจุบันเป็น 1.5 หมื่นล้านบาทภายในปี 2020