กลุ่มธุรกิจสนับสนุนโรงพยาบาล 7.1 ของ BDMS ห้องปฏิบัติการ-วิศวกรรมเครื่องมือแพทย์ เอ็น เฮลท์ ตั้งเป้าโต 17% และร้านขายยา เซฟดรัก โต 13% จำหน่ายเครื่องมือแพทย์ในบ้านเรือนเพิ่ม ปีหน้าเซฟดรักปูพรมเปิดอีก 50 สาขาทั่วไทย
ณรงค์ฤทธิ์ กาละพุฒ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจสนับสนุนโรงพยาบาล 7.1 บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เปิดเผยถึงเป้าหมายและกลยุทธ์ของกลุ่มช่วงปี 2561-62
โดยกลุ่มธุรกิจ 7.1 ของ BDMS ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ บริษัท เนชั่นแนล เฮลท์แคร์ ซิสเท็มส์ จำกัด (เอ็น เฮลท์) ซึ่งให้บริการด้านห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์ วิศวกรรมทางการแพทย์ เช่น ซ่อมบำรุงอุปกรณ์ทางการแพทย์ในโรงพยาบาล จำหน่ายเครื่องมือแพทย์ขนาดเล็กสำหรับใช้ในบ้านเรือน ระบบควบคุมการติดเชื้อ เช่น ผ้าปราศจากเชื้อ ศูนย์ล้างเครื่องมือแพทย์ และซัพพลายเชนระบบยา ส่วนอีกบริษัทหนึ่งคือ บริษัท เซฟดรัก เซ็นเตอร์ จำกัด ซึ่งทำธุรกิจเชนร้านขายยา
ณรงค์ฤทธิ์ กล่าวว่า ปี 2561 กลุ่มธุรกิจ 7.1 คาดว่ายังคงเติบโตได้ดี โดยเอ็น เฮลท์ตั้งเป้าหมายเติบโต 17% เพิ่มรายได้เป็น 4.2 พันล้านบาท และเซฟดรักหวังโต 13% เป็น 1.1 พันล้านบาท
สำหรับเอ็น เฮลท์ เป็นบริษัทผู้นำในอุตสาหกรรมธุรกิจสนับสนุนโรงพยาบาลซึ่งมีมูลค่ารวม 1.1 หมื่นล้านบาท โดยรายได้ของเอ็น เฮลท์ปัจจุบันมาจากธุรกิจแบบ B2B สัดส่วน 95% และ B2C อีก 5% ซึ่งปีนี้รายได้ของบริษัทสามารถเติบโตได้จากการเพิ่มจำนวนการตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ (Lab) การเพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ใช้บริการดูแลบำรุงรักษาเครื่องมือแพทย์ เช่น โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
รวมถึงการขยายการจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ให้ผู้บริโภครายย่อยเพิ่มขึ้น จากเทรนด์รักษาสุขภาพของผู้บริโภคทำให้ต้องการเครื่องมือสำหรับใช้เองที่บ้าน เป็นโอกาสให้เอ็น เฮลท์ขยายยอดขาย และคาดว่าจะทำให้สัดส่วนการขายแบบ B2C เพิ่มจาก 5% เป็น 10% ได้ภายในปี 2563
เซฟดรักเตรียมเปิด 50 สาขาปีหน้า
ในขณะที่ฝั่งเซฟดรัก เชนร้านขายยาที่ BDMS เทกโอเวอร์เมื่อปี 2557 ณรงค์ฤทธิ์กล่าวว่า บริษัทได้ขยายร้านเซฟดรักจนปัจจุบันมี 150 สาขา และได้ทยอยปรับโลโก้ รูปลักษณ์ของร้านให้ทันสมัยแล้วเกือบทุกแห่ง โดยชูคอนเซปท์ร้านยาราคาถูกแต่มีคุณภาพดี มียาครบตรงตามอาการ และเข้าถึงง่าย
“เซฟดรัก เราตั้งเป้าให้เป็นมากกว่าร้านยา แต่จะเป็น Health Station มีบริการเพิ่มในร้าน อนาคตจะมีการเก็บข้อมูลเป็นระบบ Big Data เพื่อให้คำปรึกษาลูกค้าได้ดีขึ้น” ณรงค์ฤทธิ์กล่าว
ด้าน มติชน อ่ำดี ผู้อำนวยการด้านการตลาด บริษัท เซฟดรัก เซ็นเตอร์ จำกัด เสริมว่า ปัจจุบันภายในร้านเซฟดรักมีสินค้ายา 70% และสินค้าซัพพลีเมนต์-เวชภัณฑ์ 30%
การแข่งขันของร้านขายยาปัจจุบันจะเน้นราคา โดยเซฟดรักให้ราคาที่ถูกกว่าร้านขายยาเชนต่างประเทศ อาทิ Watsons, Boots ราว 20% และเน้นการจัดโปรโมชันสินค้าซัพพลีเมนต์-เวชภัณฑ์จูงใจลูกค้ากลุ่มที่หันมาดูแลสุขภาพก่อนเจ็บป่วยมากขึ้น รวมไปถึงการบริการจากเภสัชกร-ผู้ขายที่ให้คำปรึกษากับลูกค้า
มติชนกล่าวต่อว่า ส่วนการขยายสาขาเซฟดรัก ในปี 2561 จะยังไม่มีการขยายสาขาเพิ่ม แต่อาจมีการเปิดสาขาทดแทนสาขาเดิมบางแห่งซึ่งมีผลประกอบการไม่น่าพอใจ และจะเริ่มเปิดสาขาเพิ่มปี 2562 ตั้งเป้าเปิดเพิ่มอีก 50 สาขา ใช้งบลงทุนเฉลี่ย 5 ล้านบาทต่อสาขา รวมเป็นงบลงทุนราว 200-300 ล้านบาทในปีหน้า
เล็งสยายปีกอาเซียน
ณรงค์ฤทธิ์ ยังกล่าวถึงเป้าหมายการขยายสู่ต่างประเทศด้วย โดยปัจจุบันเอ็น เฮลท์มีสาขาอยู่แล้วในเมียนมาและกัมพูชา ส่วนเซฟดรักมี 1 สาขาในกัมพูชา
ในอนาคต บริษัทกำลังศึกษากฎระเบียบในการลงทุนเพื่อขยายสาขาในประเทศใหม่ๆ ที่สนใจ ได้แก่ สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะร้านขายยาเซฟดรักซึ่งจะมีการขยายสาขาเพิ่มในต่างประเทศในปี 2562
Forbes Facts
- กลุ่มธุรกิจ 7.1 ทั้งสองบริษัทมีรายได้รวม 4,575 ล้านบาทในปี 2560 คิดเป็นสัดส่วน 5.93% ของเครือ BDMS
- ณรงค์ฤทธิ์กล่าวว่า อุตสาหกรรมธุรกิจสนับสนุนโรงพยาบาลมีผู้เล่นหลักทั้งหมด 4 ราย โดยเอ็น เฮลท์เป็นผู้นำอันดับ 1
- เดิมเซฟดรัก เซ็นเตอร์ก่อตั้งและบริหารโดย เภสัชกร พิชัย เกิดสินธ์ชัย ก่อนจะขายให้กับเครือ BDMS