Secret Sauce บริหารคน สูตร “ไชย ไชยวรรณ” - Forbes Thailand

Secret Sauce บริหารคน สูตร “ไชย ไชยวรรณ”

ปี 2563 บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) มีอายุ 78 ปี และเป็น 50 ปีในการบริหารของตระกูลไชยวรรณ

วานิช ไชยวรรณ ซื้อกิจการไทยประกันชีวิตในปี 2513 และ ไชย ไชยวรรณ ผู้เป็นบุตรชาย ได้เข้ามาบริหารงานตั้งแต่ปี 2525 จากกิจการประกันชีวิตที่เล็กที่สุด กลายเป็นบริษัทประกันชีวิตของคนไทยที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ด้วยตัวเลขเบี้ยประกันภัยรับรวม 92,039 ล้านบาท (เติบโต 7%) และเบี้ยประกันภัยรับปีแรก 18,882 ล้านบาท (เติบโต 21%) ในปี 2562

ตลอดกึ่งศตวรรษที่ผ่านมา บริษัทประกันชีวิตแห่งนี้มีพัฒนาการที่สำคัญๆ อยู่หลายช่วง

ปี 2515 เป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งแรกที่พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ ไปยังสาขาทั่วประเทศ รวมถึงพัฒนาแบบประกันใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มต่างๆ อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

เมื่อภาครัฐเปิดเสรีธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยในปี 2545 บริษัทจึงกำหนด Brand Positioning เป็นบริษัทคนไทยในระดับสากล มีมาตรฐานการดำเนินธุรกิจทัดเทียมบริษัทข้ามชาติ ปี 2549 เปิดให้บริษัทจัดอันดับเครดิตทางการเงินระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น S&P หรือ Fitch Ratings เข้ามาจัดอันดับเครดิต ซึ่งปัจจุบันไทยประกันชีวิตได้รับเครดิตทางการเงินภายในประเทศจาก Fitch Ratings ที่ระดับ AAA

ปี 2560 ประกาศวิสัยทัศน์ People Business ดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับคนที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน ทั้งลูกค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้น คู่ค้า และคนในสังคม ด้วยการพัฒนาและผลักดันให้บุคลากรเป็นมากกว่าพนักงานหรือตัวแทนบริษัท ด้วยการสร้างคุณค่าให้ตัวเองเพื่อส่งต่อคุณค่าให้ลูกค้าและสังคม

ปี 2562 ประกาศ Reinvent Business Model สู่การเป็นทุกคำตอบของชีวิตหรือ Life Solutions ด้วยการส่งมอบสุขภาพที่ดี (Healthier) ความมั่งคั่ง (Wealthier) และชีวิตที่ยืนยาว (Better Lives) ให้กับลูกค้าและคนไทย

ไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จว่าไม่ใช่มีแค่จุดเปลี่ยนในแต่ละช่วง สิ่งที่สำคัญกว่าคือวิวัฒนาการของบริษัท ที่ทำให้ไทยประกันชีวิตกลายเป็นบริษัทประกันชีวิตแบรนด์คนไทยอันดับต้นๆ ของประเทศ

ในขณะนั้นสังคมไทยและผู้บริโภคยังเชื่อมั่นแบรนด์ต่างประเทศมากกว่า ผมเชื่อว่าจากสิ่งที่เราทำมา ทำให้คนไทยเชื่อมั่นในแบรนด์บริษัทในฐานะเป็นแบรนด์คนไทย ไม่ได้น้อยหน้าแบรนด์ต่างประเทศเลย

สำหรับ Key Success ที่ทำให้บริษัทเติบโตมากระทั่งปัจจุบันคือคน และวัฒนธรรมองค์กร โดยบริษัทมุ่งสร้างบุคลากรให้เป็นเพื่อนคู่คิด ที่อยู่เคียงข้างลูกค้าในทุกช่วงชีวิต ขณะเดียวกันบริษัทก็ดูแลพนักงานเป็นอย่างดี ทำให้มีความรักและผูกพันธ์กับองค์กร รู้สึกว่าบริษัทเป็นบ้านหลังหนึ่งของพวกเขา

เมื่อเกิดวิกฤตใดๆ ขึ้นมา ก็พร้อมให้ความร่วมมือ

ผมเชื่อว่าโลกตะวันตกเก่งในเรื่องบิสสิเนสโมเดล แต่โลกตะวันออกเข้าใจคุณค่าความเป็นมนุษย์ เรามองธุรกิจแบบโลกตะวันตก แต่บริหารองค์กรแบบโลกตะวันออก สองอย่างรวมกันทำให้เกิดลายเซ็นไทยประกันชีวิต

ถามว่าแล้วใช้อะไรเป็นเกณฑ์ชี้วัดผลงาน? คำตอบคือมี KPI แต่ไม่ได้มองแบบโลกตะวันตกที่กดดันพนักงานว่าต้องทำให้ได้ตามนั้น และว่า KPI เป็นเพียงการ improvement ไว้สร้างขวัญกำลังใจ ให้คนสนุกกับการได้ challenge ตัวเอง อาจมีตัวเลขที่วัดได้ แต่ขณะเดียวกันยังมี Intangible costs นำไปสู่การทำงาน ความศรัทธา

ถ้า KPI ไม่ได้ ต้องกลับมาดูว่าจะทำอย่างไรให้ KPI เหล่านั้นประสบความสำเร็จ หาวิธีผลักดันให้คนในองค์กรทำให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ร่วมกัน

แม้จะบอกว่าไม่ได้วัดผลงานพนักงานด้วย KPI หรือต้องมีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 1 ซึ่งไชยมองว่าเป็นการกดดันคนทำงาน และไม่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร

เราสร้างบิสสิเนสโมเดลว่า ตัวแทนประกันชีวิตต้องเป็น life solutions ให้กับสังคมไทย ทำให้ลูกค้ามีความรอบรู้ มีสุขภาพที่ดี มีชีวิตที่มั่งคั่ง...ผมทำให้เขาเห็นว่าการตื่นมาทุกเช้า และได้ดูแลชีวิตคนอื่น ทำให้ตัวเขามีคุณค่า ตรงนี้ทำให้ไทยประกันชีวิตเป็นที่ 1 ในใจทุกคน

ในภาษาญี่ปุ่นมีคำว่า omotenashi คือการคิดเผื่อโดยไม่หวังคำชื่นชม ภาษาไทยคือความมีน้ำใจ ทำทุกอย่างด้วยหัวใจ ไม่ใช่เพื่อค่าคอมมิชชั่น สิ่งที่เขาแสดงออกต่อลูกค้าไม่เฟค (fake) สุดท้ายจะยืนเคียงข้างลูกค้า ผมว่าตรงนี้สำคัญกว่ามาร์เก็ตแชร์ แต่ทำให้แบรนด์และองค์กร sustainable”

นายใหญ่ไทยประกันชีวิตมองว่าตนเองเป็นนักกลยุทธ์มากกว่านักบริหาร เพราะลักษณะการทำงานที่มีความเปลี่ยนแปลง และต้อง improvise อยู่บ่อยครั้ง

อย่างการระบาดของโควิด-19 จะมาพร้อมสิ่งคาดไม่ถึงหลายเรื่อง improvise หมายถึงเราต้องมีความสามารถในการคิด มีไหวพริบ ปรับเปลี่ยน ปรับตัวเข้ากับสิ่งที่เกิด หาทางออกจากปัญหา ไม่มองว่าผิดหรือถูก สิ่งสำคัญคือต้องลองทำ ต้องลองผิดลองถูก บางครั้งอาจทำให้เราเจอผลลัพธ์ดีหรือไม่ดีก็ได้ แต่ทำให้เราเรียนรู้ เอาความผิดพลาดมาเป็นบทเรียน หากล้มเหลว ก็กล้าลุกขึ้นสู้ใหม่ จะทำให้เรามีทักษะที่แข็งแรงขึ้น

แม้จะเป็นผู้บริหารธุรกิจที่มีตัวเลขรายได้หลายหมื่นล้าน และบริหารงานตามหลักสากล แต่ในการบริหารคน นายใหญ่ของไทยประกันชีวิตกลับใช้หลักคิดแบบตะวันออก และใช้หลักพุทธศาสนามาอธิบายวิธีการคิด วิธีการบริหารคน โดยให้เหตุผลว่าเพราะคนเอเชียและไทยคุ้นเคยกับปรัชญาตะวันออก และพุทธศาสนาคือปรัชญา

ระหว่างการให้สัมภาษณ์ หลักพุทธศาสนาที่ไชยหยิบยกมาอธิบายประกอบโดยเทียบเคียงกับหลักการบริหารงานแบบตะวันตก เช่น อริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นโรธ มรรค) อิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) พรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิต อุเบกขา) สังคหวัตถุ 4 (ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตตา) และหิริโอตัปปะ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าความจริงมีมากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับว่าต้องการพูดเรื่องอะไร

ตัวอย่างเช่น บอกคนที่เป็นว่าหัวหน้างานต้องยึดหลักพรหมวิหาร 4 ในการดูแลลูกน้อง โดยอธิบายว่าถ้าเรามีความเมตตา กรุณา ต่อพนักงาน พนักงานจะทำงานอย่างมีความสุข ถ้าเรามีความกรุณา ปรารถนาให้เขามีความสุข ก็อาจไปช่วยลูกน้องในการแก้ปัญหา สอนให้พัฒนาตัวเองเมื่อพบปัญหา มีมุทิตาต่อลูกน้องคือยินดีถ้าลูกน้องทำงานแล้วประสบความสำเร็จ มีอุเบกขาคือวางตัวให้เป็นกลาง แต่ไม่ใช่ปล่อยวาง หากลูกน้องทำตัวไม่ดีต้องบอกกล่าวสั่งสอน

ในการทำงาน การดำเนินชีวิต ต้องยึดหลักหิริโอตัปปะ คือละอายต่อการทำความชั่ว

ไม่ต้องท่อง Integrity, dignity คือในรัฐธรรมนูญสหรัฐเขียนไว้ว่านับถือศาสนาอะไรก็ได้ จึงไม่สามารถนำแนวคิดของศาสนาใดศาสนาหนึ่งมาใช้ ก็ยึดคำว่าทำงานบนพื้นฐานสุจริต คนไทยไปเอาหลักธรรมาภิบาลเหล่านั้นมา เข้าใจแก่นหรือเปล่า ถ้าเข้าใจก็สื่อสารคนในองค์กรได้ แต่ทำไมต้องเอามา ถ้าเรามีหิริโอตัปปะคือมีศักดิ์ศรีต่อวิชาชีพ

ในการแก้ปัญหาตะวันตกใช้คำว่า Plan Do Check Action หรือ PDCA เราก็บอกให้ใช้หลักอริยสัจ 4 ซึ่งประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้าเจอปัญหา หาสาเหตุให้พบ เดี๋ยวก็เจอทางออก และลงมือทำ ก็แค่นี้ ง่ายๆ...หรือตอนนี้ฝรั่งกำลังพูดเรื่อง mindful ซึ่งก็คือการเจริญสติๆ รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน มองอย่างมีสติ

แม้จะอธิบายหลักพุทธศาสนาได้อย่างละเอียด ชัดเจน แต่นายใหญ่ไทยประกันชีวิตย้ำว่าเขาไม่ได้ใช้หลักพุทธศาสนาในการบริหารงาน แต่ใช้เพื่อสื่อสารกับคนในองค์กร เป็นหลักคิดที่นำมาใช้กับหัวหน้างาน เพื่อให้ไปอธิบายกับลูกน้องอีกทอดหนึ่ง ซึ่งพนักงานจะทำความเข้าใจได้ง่ายกว่าการใช้ทฤษฎีของตะวันตก

ผมไม่ใช่คนอิงศาสนาจ๋า แต่นำปรัชญามาถ่ายทอด เพื่อให้คนทำงานเข้าใจง่าย ผมก็แปลงสารจากฝรั่งมาด้วย

ในตอนท้ายไชยกล่าวถึงการเป็นผู้บริหารที่ดีว่า ต้องมีทักษะของความพร้อมที่จะเผชิญการเปลี่ยนแปลง ต้องเข้าใจตัวเองตามความเป็นจริง มีความคิดสร้างสรรค์ มีความยืดหยุ่น เมื่อประสบความล้มเหลวก็พร้อมที่จะลุกขึ้นสู้ใหม่

การรู้จักตนเองเป็นจุดเริ่มต้นแห่งปัญญา ถ้าเข้าใจตนเอง จะเข้าใจและเห็นใจคนอื่น

ทั้งหมดนี้คือลายเซ็นของไทยประกันชีวิต ที่เขียนโดยไชย ไชยวรรณ

    ภาพ: กิตติเดช เจริญพร
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine