แม้เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีความเหลื่อมล้ำที่เป็นช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างคนจนกับคนรวยในสหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศอื่นๆ ทั่วโลก แต่ไม่ใช่แค่ระหว่างคนจนกับรวยเท่านั้น เพราะอันที่จริงแล้วก็มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างคนรวยและคนรวยด้วยเหมือนกัน
ลองมองไปที่การแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปัจจุบัน Donald Trump ได้รับการประเมินว่ามีความมั่งคั่งอยู่ที่ 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลเมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่บนโลก แต่ทรัพย์สินของ Trump กลับดูน้อยลงหากเทียบกับทรัพย์สินของผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่าง Michael Bloomberg ผู้ครองความมั่งคั่ง 5.3 หมื่นล้านเหรียญ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา Bloomberg สามารถบริหารจัดการธุรกิจและทรัพย์สินได้อย่างเหมาะสม จนกระทั่งเพิ่มพูนความมั่งคั่งได้เป็นทวีคูณ ทั้งยังติดอันดับ 400 บุคคลที่รวยที่สุดในสหรัฐฯ หรือ Forbes 400 เป็นครั้งแรกในปี 1992 (คนที่จะติดอันดับได้ต้องมีสินทรัพย์ 350 ล้านเหรียญขึ้นไป) หลังจากบริษัทของเขาที่ให้บริการข้อมูลหุ้น, พันธบัตร และอื่นๆ เริ่มเป็นที่นิยมในวอลสตรีท
ขณะที่ในเวลานั้น Trump กำลังดิ้นรนต่อสู้เพื่อรักษาอาณาจักรของเขาไว้ หลังมีหนี้สินก้อนโตที่เกือบพาเขาล้มละลาย
Trump ฝ่าวิกฤตได้และกลับเข้ามาสู่ทำเนียบ Forbes 400 ได้ในปี 1996 ด้วยความมั่งคั่งราว 450 ล้านเหรียญ ขณะที่ Bloomberg ในขณะนั้นมีความมั่งคั่งอยู่ราว 1 พันล้านเหรียญ ซึ่งคิดจากมูลค่าของหุ้นที่เขาถืออยู่ในธุรกิจข้อมูลด้านการเงินของเขา
ในช่วง 23 ปีที่ผ่านมา ความมั่งคั่งสุทธิของ Trump เติบโตในอัตรา 8.8% ต่อปี มากกว่าผลตอบแทนของดัชนีหุ้น S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ 6.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ผลตอบแทนของ Trump ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในปี 1996-1997 ซึ่งความมั่งคั่งของเขากระโดดจาก 450 ล้านเหรียญมาเป็น 1.4 พันล้านเหรียญ ขณะที่ความมั่งคั่งของ Bloomberg นั้นมีการเติบโตและความเสถียรมากกว่า ด้วยอัตราการเติบโตอยู่ที่ 18.8% ต่อปี
ผลตอบแทนที่โดดเด่นซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตทางธุรกิจ สามารถอธิบายได้ว่าทำไม Bloomberg จึงรวยมหาศาลเมื่อเทียบกับมหาเศรษฐีที่ธุรกิจส่วนใหญ่ยังเป็นการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เก่าอย่าง Trump อยู่มหาศาล ขณะที่ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา บริษัท Bloomberg LP เติบโตขึ้นจากการเพิ่มการรายงานข่าวธุรกิจและการเงินเข้ามาด้วย จากที่ในช่วงแรกให้บริการข้อมูลด้านการเงินเท่านั้น
นอกจากนั้น ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา บริษัท Bloomberg LP ยังเติบโตขึ้นจากการเพิ่มการรายงานข่าวธุรกิจและการเงินเข้ามาด้วย จากที่ในช่วงแรกให้บริการข้อมูลด้านการเงินเท่านั้น โดย Bloomberg LP ได้เข้าซื้อกิจการหนังสือ BusinessWeek ซึ่งกำลังประสบปัญทางการเงินอย่างหนักจาก McGraw-Hill ด้วยมูลค่า 5 ล้านเหรียญ และรับโอนหนี้สินมาอีกเกือบ 32 ล้านเหรียญในปี 2009
ปัจจุบัน ประมาณการว่า Bloomberg LP มีรายได้อยู่ที่ 1 หมื่นล้านเหรียญ และ Michael Bloomberg ครองหุ้นอยู่ 88% ของบริษัท
ทั้งนี้ Michael Bloomberg นับเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่บริจาคเงินเพื่อการกุศล โดยเขาบริจาคเงิน 8 พันล้านเหรียญให้กับองค์การกุศลและกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ รวมถึงมหาวิทยาลัย Johns Hopkins และกิจกรรมที่ผลักดันการควบคุมอาวุธปืน
อย่างไรก็ตาม การเอาชนะใครบางคนได้ในสนามธุรกิจ กับการเอาชนะใครบางคนได้ในสนามเลือกตั้งนั้นต้องใช้ทักษะที่แตกต่างกัน ซึ่ง Bloomberg อาจต้องหาทักษะอื่นๆ เข้ามาช่วย ในปีหน้า Bloomberg ผู้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี New York มา 3 สมัย จะได้รับโอกาสพิสูจน์ว่าเขาจะสามารถต่อสู้กับ Trump บนเวทีการเมืองได้อย่างไร
อ่านเพิ่มเติม แปลและเรียบเรียงจาก Here’s Why Michael Bloomberg Is 17 Times Richer Than Donald Trumpไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine