หลังจากใช้เวลาในการรีโนเวตราว 2 ปี คือตั้งแต่ปี 2022-2023 “เชียงใหม่ แมริออท โฮเทล” หรือเดิมคือ “เลอ เมอริเดียน” โรงแรมหรูในย่านช้างคลานของ จ.เชียงใหม่ ก็ได้กลับมาอย่างให้บริการต้อนรับนักเดินทางจากหลากหลายสัญชาติอีกครั้งตั้งแต่ช่วงปลายปี 2023 ที่ผ่านมา นอกจากห้องพักวิวดอยสุเทพและเมืองเชียงใหม่อันเป็นเอกลักษณ์ การกลับมาครั้งนี้ยังมาพร้อมกับความโดดเด่นอย่าง “กลิ่นอายล้านนา” ในความหรูหราของโรงแรม 5 ดาว
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ไปเยือนจังหวัดเชียงใหม่และมีโอกาสได้ไปแถวถนนช้างคลาน หรือไนท์บาร์ซ่า เชื่อว่าสิ่งที่คุณอาจจะพอคุ้นตาอยู่บ้างคือตึกสูงตระหง่านที่เป็นที่ตั้งของโรงแรมหรูระดับห้าดาว ชื่อเดิมที่หลายคนคุ้นเคยของที่นี่ตลอด 16 ปีที่โรงแรมแห่งนี้ให้บริการมาก็คือ “เลอ เมอริเดียน” แต่ล่าสุดที่นี่ได้รับการรีโนเวตและเปลี่ยนชื่อในการบริหารงานจากเลอ เมอริเดียน สู่การบริหารงานภายใต้แบรนด์ “แมริออท” ในชื่อว่า “เชียงใหม่ แมริออท โฮเทล” โดยเป็นโรงแรมแมริออทหนึ่งเดียวในจังหวัดเชียงใหม่ด้วย
แม้เปลี่ยนชื่อแบรนด์แต่บริษัทที่บริหารจัดการยังคงเป็นบริษัทเดิม และเจ้าของที่พักสุดหรูรวมถึงที่ดินแปลงนี้ก็ยังเป็นเจ้าของเดิมคือ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ซึ่งมี “วัลลภา ไตรโสรัส” ลูกสาวของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี นั่งบริหารอยู่
เหตุผลของการเปลี่ยนแบรนด์มาเป็นแบรนด์แมริออท เนื่องจาก AWC มองว่าแมริออทเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งในตลาดอเมริกาและจีน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักที่มาเยือนเชียงใหม่ นักท่องเที่ยวทั้งสองสัญชาติรู้จักแบรนด์แมริออทเป็นอย่างดีจากในประเทศของตน โดยเฉพาะในประเทศจีนซึ่งมีโรงแรมแบรนด์แมริออทตั้งอยู่มากกว่า 50 แห่ง การเปลี่ยนมาเป็นแบรนด์แมริออทก็จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและดึงนักท่องเที่ยวในกลุ่มนี้ได้มากขึ้นในช่วงหลังโควิดที่การเดินทางท่องเที่ยวเริ่มฟื้น
แม้อยู่นอกคูเมือง แต่โรงแรมเชียงใหม่ แมริออท โฮเทล ก็เรียกได้ว่าตั้งอยู่ใจกลางย่านท่องเที่ยวและธุรกิจของเชียงใหม่ และไม่ไกลจากโซนเมืองเก่าอันเป็นมรดกของเมืองล้านนาอายุกว่า 700 ปีสักเท่าไหร่นัก
กล่าวคือในโซนช้างคลานถือเป็นย่านธุรกิจที่ผู้คนมีชีวิตความเป็นอยู่อันทันสมัย แต่ห่างออกไปไม่ไกลในด้านหนึ่งก็คือประตูท่าแพ แลนด์มาร์คสำคัญที่สะท้อนถึงศิลปะและวัฒนธรรมของเชียงใหม่ และถัดเข้าไปหลังกำแพงเมืองก็คือที่ตั้งของวัดโบราณหลายแห่งที่ถือเป็นมรดกของอาณาจักรล้านนา
ขณะที่อีกด้านของโรงแรมในระยะไม่ไกลนัก นักท่องเที่ยวที่มาเยือนที่นี่ก็จะได้สัมผัสกับความงดงามของแม่น้ำปิงที่เป็นแม่น้ำสายสำคัญของเมืองเชียงใหม่ด้วย
ห้องพักทั้ง 383 ห้อง เชื้อเชิญให้ผู้เข้าพักได้ผ่อนคลายในสไตล์โมเดิร์นร่วมสมัย แฝงไว้ด้วยศิลปะที่แสดงถึงเรื่องราว และวิถีชีวิตชาวล้านนาในอดีต ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงในห้องพัก แต่กลิ่นอายของศิลปะล้านนาถูกนำมาใช้ในการออกแบบตั้งแต่บริเวณล็อบบี้ ซึ่งมาในคอนเซ็ปต์ที่ต้องการสะท้อนความรุ่งเรืองของอาณาจักรล้านนาในอดีต การตกแต่งจึงเน้นไปที่สีทอง ดำ และแดง และไม้ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก “วัดต้นเกว๋น” หรือวัดอินทราวาส วัดเก่าแก่ที่อยู่โซนนอกเมืองเชียงใหม่
โคมไฟบริเวณล็อบบี้ยังได้รับแรงบันดาลใจมาจากโคมยี่เป็งในงานลอยกระทงของล้านนา ส่วนบริเวณกลางล็อบบี้ถูกตกแต่งด้วยประติมากรรม “เงินเจียง” ซึ่งเป็นเงินล้านนาในอดีต รอบๆ ล็อบบี้รวมถึงจุดต่างๆ ของโรงแรมยังถูกประดับด้วยประติมากรรมรูป “ช้าง” ซึ่งเป็นพาหนะสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าและทำการศึกสงครามในสมัยก่อนนั่นเอง
ลวดลายต่างๆ ที่เห็นทั้งโคมไฟบริเวณโถงทางเดิน รวมถึงลวดลายการตกแต่งในห้องพัก ได้แรงบันดาลใจมาจากดอกทองกวาว ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดเชียงใหม่ด้วย
แต่จุดเด่นที่เป็นไฮไลต์ของที่นี่ คือการที่แต่ละห้องสามารถสัมผัสกับทัศนียภาพอันงดงามของดอยสุเทพและเมืองเก่าได้โดยตรงจากหน้าต่างบานใหญ่พร้อมโต๊ะทำงานในห้องพัก ส่วนภายในห้องน้ำประกอบด้วยกระจกและหินอ่อน พร้อมฝักบัวแบบเรนชาวเวอร์ และอ่างอาบน้ำในทุกห้องให้แขกผู้มาเยือนทุกคนได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่
การกลับมาครั้งนี้ยังมาพร้อมกับห้องอาหารโฉมใหม่ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของแขกผู้มาเยือนด้วย 4 ห้องอาหารและบาร์ โดยมีให้เลือกสรรค์ทั้ง อาหารเหนือ, อาหารไทย, อาหารจีน และอาหารนานาชาติ
โดยชั้นล่างของโรงแรมเป็นที่ตั้งของห้องอาหาร “เดอะปิงควิซีนแอนด์บาร์” (The Ping Cuisine and Bar) ซึ่งเปิดให้บริการทั้งบุฟเฟต์อาหารเช้า และมื้อกลางวันและมื้อเย็นในรูปแบบอะลาคาร์ท ไม่ว่าจะเป็นอาหารนานาชาติ อาหารเอเชีย อาหารไทย อาหารท้องถิ่น โดยยังคงไว้ซึ่งการปรุงแบบต้นตำรับ เพื่อให้ได้รสชาติอร่อยแบบดั้งเดิม
ที่น่าสนใจคือที่นี่ใช้วัตถุดิบออร์แกนิคและวัตถุดิบคุณภาพดีจากท้องถิ่น เช่น จากสวนเพลินจิตริมธาร เพื่อเป็นการสนับสนุนผลผลิตจากชุมชน ขณะที่เมนูถูกนำเสนอในสไตล์โมเดิร์นทันสมัย โดยสามารถอิ่มอร่อยกับเมนูพิเศษจากทีมพ่อครัวที่สร้างสรรค์เมนูครบครันตอบโจทย์ทุกความต้องการ และแน่นอนว่าเบเกอรี่ของที่นี่โดยเฉพาะ "ครัวซองต์" ยังคงรสชาติเยี่ยมเหมือนเดิมชนิดที่ใครมาก็ไม่ควรพลาด
ห้องอาหารอิตาเลียน “ฟาโวล่า” (Favola) ซึ่งเป็นหนึ่งในห้องอาหารที่แนะนำโดยมิชลิน ไกด์ ให้บริการอาหารอิตาเลียนโดยเชฟชาวอิตาเลียน ซึ่งไม่เพียงแค่แขกที่เข้าพัก ห้องอาหารนี้ยังได้รับความนิยมจากชาวเชียงใหม่ที่มาชิมหรือจัดไพรเวทปาร์ตี้ด้วย
ส่วนอาหารจีนนั้น โรงแรมเชียงใหม่ แมริออท โฮเทล นำเสนออาหารจีนสไตล์กวางตุ้งในบรรยากาศร่วมสมัย ที่ห้องอาหาร “ฮั่น เดอะไชนีสควิซีน” (Han The Chinese Cuisine) อร่อยล้ำตั้งแต่เมนูเรียกน้ำย่อยอย่างตระกูลติ่มซำ ไปจนถึงของหวานที่พลาดไม่ได้อย่างสาคูแคนตาลูปเสิร์ฟพร้อมขนมเปี๊ยะอบควันเทียนสูตรของเชฟเอง
สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ของที่นี่ยังมาพร้อมกับสระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้พร้อมวิวดอยสุเทพ เพิ่มเติมด้วยโซนมุมสระเด็กที่มาพร้อมเครื่องเล่นสำหรับหนูๆ ไม่เพียงเท่านั้น ที่นี่ยังมาพร้อมกับ “ปิงส์ บาร์” (Ping’s Bar) ที่เสิร์ฟทั้งกาแฟ เบเกอรี่ และเมนูทานเล่น รวมทั้งเครื่องดื่มจิน และค็อกเทลหลากหลายเมนู พร้อมเสิร์ฟตั้งแต่เช้าจรดเที่ยงคืน
ตลอดจนบาร์ริมสระว่ายน้ำ “พูลเฮาส์” (Pool House) ให้บริการอาหารว่าง และอาหารจานหลัก ค็อกเทล และเครื่องดื่ม ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความอุดมสมบูรณ์ของเชียงใหม่ เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับการผ่อนคลาย เพิ่มเติมความสดชื่น หรือชมพระอาทิตย์ตกในยามเย็น
สัมผัสประสบการณ์ความผ่อนคลายที่ “ควอนสปา” ที่นำเสนอประสบการณ์สปาที่เน้นการสร้างสมดุลด้วยน้ำอันบริสุทธิ์ ประกอบไปด้วยห้องทรีทเมนต์จำนวน 6 ห้อง โดยสามารถเลือกปลอบประโลมร่างกายด้วยทรีทเมนต์ที่ชูวัตถุดิบจากท้องถิ่นของเชียงใหม่ หรือการนวดตัวที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เหนื่อยล้า หรือเลือกทรีทเมนต์ที่เน้นการดูแลบำบัดผิวเพื่อชะลอวัย รวมไปถึงทรีทเมนต์สำหรับผิวหน้า และทรีทเมนต์ที่ใส่ใจดูแลผิวของสุภาพบุรุษที่ออกแบบมาสำหรับที่นี่โดยเฉพาะ
นอกจากตอบโจทย์สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว โรงแรมเชียงใหม่ แมริออท โฮเทล ยังตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการจัดงานต่างๆ ทั้งงานประชุมระดับนานาชาติ (MICE) และงานสัมมนาขนาดย่อมไปจนถึงงานเลี้ยง โดยมีพื้นที่ให้บริการกว่า 1,741 ตารางเมตร ห้องประชุมขนาดใหญ่รองรับผู้เข้าร่วมงานได้มากถึง 800 คน
นอกจากนี้สมาชิกแมริออท บอนวอย ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับสิทธิพิเศษและบริการเฉพาะที่คลับเลาจน์ หรือ “เอ็มคลับ” ซึ่งตั้งอยู่บนชั้นบนสุดของโรงแรมฯ บนชั้น 21 และ 22 โดยเป็นพื้นที่สามารถนั่งพักผ่อน ทำงาน หรือทานอาหารได้ในบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว พร้อมการบริการพิเศษจากพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นบริการอาหารเช้า ของว่างและเครื่องดื่มตลอดวัน รวมถึงค็อกเทลในยามค่ำ พร้อมบริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย และมุมอาหารทานเล่นและเครื่องดื่มที่ให้บริการตลอดทั้งวัน
โดยรวมเรียกได้ว่านี่คือการกลับมาอีกครั้งที่สมบูรณ์แบบมากกว่าเดิม และถ้าหากคุณได้ไปเยือนเชียงใหม่ “โรงแรมเชียงใหม่ แมริออท โฮเทล” ก็เป็นอีกหนึ่งที่พักที่เชื่อว่าจะสร้างความประทับใจให้คุณได้อย่างแน่นอน
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Rhapsody of Romance ดื่มด่ำกับงานศิลป์ เติมพลังให้ดวงใจในอาณาจักรแห่งรัก
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine