เข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ เดือนที่สองของปีที่พิเศษตรงที่มีวันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์ ในโอกาสนี้ Forbes Thailand ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมออกเดินทางชื่นชมสุนทรียภาพแห่งรัก ผ่านนิทรรศการศิลปะ Rhapsody of Romance โดยศิลปินหญิงชาวไทย เอมิ ไคยะ (Aimi Kaiya) ที่จะชุบชูทุกหัวใจด้วยสีสันละมุนละไมทว่าเต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์อันลึกซึ้ง
Rhapsody of Romance เพียงชื่อก็บอกชัดเจนว่าคอนเซ็ปต์ของงานคือ “ความรัก” และงานนิทรรศการนี้เปรียบประหนึ่ง “อาณาจักรแห่งความรัก” ที่รวบรวมความรักหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะรักที่ไร้เงื่อนไข รักร้อนแรง รักในครอบครัว ตลอดจนการนำผลงานของศิลปินดังในอดีตมาตีความใหม่และนำเสนอในรูปแบบ Abstract Expressionism ซึ่งเป็นสไตล์ถนัดของ เอมิ ไคยะ (Aimi Kaiya) ผสานด้วยกลิ่นอาย Pop Art อย่างลงตัว และการใช้สีที่มีความนุ่มนวลเป็นเอกลักษณ์ของเธอ
ซึ่งงานนี้ไม่ได้มีเพียงงานศิลปะสวยงามเท่านั้น แต่สีสัน เส้นสาย และลายแปรงเหล่านี้ยังแฝงพลังบวกอันอ่อนโยน พร้อมเติมเต็มความรักให้ผู้ชม ที่คุณต้องทำเพียงแค่ก้าวเข้าไปและเปิดใจโอบรับเท่านั้น
ทำในสิ่งที่รัก รักในสิ่งที่ทำ
“ความรัก” หาใช่แค่ธีมของคอลเล็กชันงานศิลปะในนิทรรศการครั้งนี้ แต่ยังเป็นความรู้สึกที่เอมิ ไคยะมีต่อศิลปะอันก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ ขับเคลื่อน และนำทางเธอจนกลับกลายเป็นศิลปินเต็มตัวและมีผลงานในระดับโลก
เอมิ ไคยะ ศึกษาด้านจิตวิทยาคลินิกในระดับปริญญาตรี ก่อนจะพบว่านั่นไม่ใช่อนาคตที่เธอต้องการ และเปลี่ยนสายมาทำงานเป็นนักพัฒนาผลิตภัณฑ์แทน โดยเธอวาดภาพเป็นงานอดิเรก กระทั่งในช่วงโควิด-19 เธอได้นำผลงานบางส่วนโพสต์ลง Instagram ปรากฏว่ามีคนชื่นชอบมากมาย บางคนถึงขั้นติดต่อมาของซื้อเลยทีเดียว ซึ่งตอนแรกเอมิก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันว่าจะมีคนสนใจถึงขนาดนั้น
เอมิเล่าว่า ทีแรกเธอคิดว่าเป็นสแกมเมอร์ตามอินเทอร์เน็ต แต่ปรากฏว่ามีการโอนเงินซื้อเข้ามาจริงๆ จึงกลายเป็นการขายงานครั้งแรกที่สร้างรายได้ชัดเจน เติมความมั่นใจให้เธอสร้างสรรค์ผลงานต่อและเบนเข็มทิศมายังเส้นทางศิลปิน
แน่นอนว่าการเป็นศิลปินแบบเต็มเวลาไม่ใช่เรื่องง่าย เอมิเริ่มมองหาเวทีให้ตัวเอง จนไปพบกับงานประกวดศิลปะระดับนานาชาติ Chianciano Biennale 2022 ที่ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นงานที่เปิดโอกาสให้คนรักศิลปะเข้าร่วมได้โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นศิลปินมืออาชีพมานานแล้วเท่านั้น และผลงาน Romance in Venice ของเธอก็พาให้เอมิ ไคยะกลายเป็นศิลปินหญิงไทยคนแรกและคนเดียวที่คว้ารางวัล First Place Award ในสาขา Abstract Work ถือเป็นการเปิดตัวเข้าสู่วงการศิลปินอาชีพอย่างงดงาม
เอมิ ไคยะยังได้รับเชิญไปจัดแสดงที่ London Art Biennale 2023 เปิดโอกาสให้เธอได้เป็นที่รู้จักทั้งในแวดวงศิลปะ นักวิจารณ์ และนักสะสมมากขึ้น
งานของเอมิ ไคยะเป็นแนว Abstract Impressionism หรือนามธรรมที่เน้นการแสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึก เธอชอบทดลองกับสี เส้น สัญลักษณ์ และเทคนิคใหม่ๆ โดยเธอมองว่าศิลปะคือการสร้างสรรค์ที่ทรงพลังไม่เพียงแค่ในเชิงสุนทรียศาสตร์ แต่ยังปลอบโยนหัวใจ เติมพลังบวกแก่ผู้ได้รับชม
“จิตวิญญาณที่ขับเคลื่อนสังคม” คือนิยามที่เธอมอบให้สิ่งที่เธอทั้งรักและหลงใหล พร้อมอธิบายว่าแม้ศิลปินจะลาจากโลกนี้ไปแล้ว งานของพวกเขาและเธอเหล่านั้นยังคงทรงอิทธิพลต่อคนที่มาชื่นชมในรุ่นถัดมาและถัดๆ มา
อีกประการหนึ่ง เอมิกล่าวว่าปัจจุบัน มีศิลปินรุ่นใหม่ฝีมือดีที่พร้อมจะสร้างแรงบันดาลใจแก่โลกนี้มากมาย รวมถึงในประเทศไทยด้วยเช่นกัน อุตสาหกรรมสร้างสรรค์นั้นจะเติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า งานศิลปะชิ้นหนึ่งจะถูกเผยแพร่ถึงผู้คนทั่วโลกได้ง่ายดายยิ่งขึ้น เปิดโอกาสให้ศิลปินมีเวทีสำหรับจัดแสดงผลงานมากกว่าในอดีต รวมถึงโอกาสในการสร้างคอนเนคชั่นกับนักสะสม ผู้ชม และผู้สนับสนุนอีกด้วย
ส่งต่อความรักผ่านงานศิลป์
สำหรับนิทรรศการ Rhapsody of Romance ถือเป็นงานนิทรรศการเดี่ยวเต็มรูปแบบครั้งแรกของเธอ ที่นอกจากสร้างสรรค์แต่ละภาพวาดขึ้นมาแล้ว เธอยังดูแลการจัดงานทั้งหมดเองอีกด้วย
เมื่อมาถึงหน้านิทรรศการก็จะได้เห็นข้อความเปรียบดังจดหมายที่เอมิต้องการส่งถึงผู้มาเยือนว่า “My Dearest Love, May our connection be like art, a language of love that speaks volumes. Aimi Kaiya” เป็นการต้อนรับทุกคนเข้าสู่อาณาจักรแห่งความรักของเธอ
คอลเล็กชันงานศิลป์ครั้งนี้มีทั้งหมด 18 ภาพ ภายใต้คอนเซ็ปต์ความรัก โดยเป็นการนำเสนอความรักและความหลงใหลในรูปแบบต่างๆ เน้นการสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกผ่านศิลปะนามธรรม อันมีแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ของตัวเธอเองและการนำผลงานดังของศิลปินดัง ไดัแก่ Lovers (1875) โดย Pierre-Auguste Renoir, A Romance (1894) โดย Santiago Rusinol และ The Kiss (1907-1908) โดย Gustav Klimt มาตีความใหม่
เทคนิคที่เอมิ ไคยะใช้ในงานคอลเล็กชันนี้คือสื่อผสม มีการใช้สีและอุปกรณ์หลายประเภท เช่น สีอะคริลิก สีสเปรย์ สีฝุ่น ฯลฯ เพื่อสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ แต่ยังคงเอกลักษณ์และสุนทรียภาพของตัวเธอไว้ชัดเจน นอกจากนี้ผลงานทั้ง 18 ชิ้นก็ล้วนแสดงถึงพลังอันแรงกล้าของศิลปะที่เอมิเชื่อมั่น เพราะนอกจากความสวยงามแล้ว ทุกชิ้นยังถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก และมอบความสุขแก่ผู้ชื่นชม
เอมิยังบอกว่าแต่ละภาพเธอมีไอเดียและแรงบันดาลใจก็จริง ทว่าเธอก็ยินดีให้ผู้ชมตีความงานศิลปะตามความเข้าใจและประสบการณ์ของตัวเอง เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ดื่มด่ำกับความรักหลากรูปแบบได้อย่างเต็มที่ ถือเป็นความสนุกอย่างหนึ่งในการเสพศิลปะนามธรรม
ยกตัวอย่างภาพที่น่าสนใจ เช่น
Oneness of Hearts ภาพนามธรรมของสายสัมพันธ์แห่งรักและเมตตาอันเป็นสากล ก้าวข้ามขอบเขตของเชื้อชาติ ศาสนา และสีผิว สื่อถึงดวงใจของมวลมนุษยชาติที่เชื่อมประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน แรงบันดาลใจจากการที่เอมิไปเยือนต่างประเทศแล้วได้รับน้ำใจไมตรีอันล้นเหลือจากผู้คนเหล่านั้นนั่นเอง ซึ่งแม้สีจะมีความเข้มให้ความรู้สึกถึงพลังความสดใส แต่คงความละมุนละไมเอาไว้ชัดเจน
Bridal Veil ชั้นของเฉดสีที่ละเอียดอ่อนและเส้นสายที่พลิ้วไหวชวนให้นึกถึงผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวในงานวิวาห์ สื่อถึงการแต่งงานอันศักดิ์สิทธิ์และการเริ่มต้นครอบครัว ด้วยโทนสีที่นุ่มนวลชวนฝัน ในบรรยากาศโรแมนติก นอกจากนี้ยังชวนให้นึกถึงสำนวนอังกฤษว่าด้วยชุดแต่งงานของเจ้าสาวที่ต้องประกอบด้วย “Something old, something new, something borrowed, something blue,”
Gabriel อ้างอิงถึงอัครทูตสวรรค์กาเบรียลผู้ส่งสารแห่งความรักและปกป้องมนุษย์จากสิ่งชั่วร้าย โดยในภาพคือปีกของทูตสวรรค์นั่นเอง สีสันอันสดใสอ่อนโยนปลอบประโลมหัวใจ ซึ่งเอมิเผยว่าผู้ชมบางคนก็มองเป็นสร้อยที่เชื่อมโยงดุจสายสัมพันธ์ บางทีอาจเป็นสายสัมพันธ์อันงดงามของผู้คน หรือสายสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ที่เปี่ยมด้วยรักก็เป็นได้
นอกเหนือจากผลงานที่หยิบยกมานี้ ยังมีผลงานอื่นๆ ที่น่าสนใจ รอให้ทุกคนไปร่วมสัมผัส ดื่มด่ำ และตีความกันอย่างลึกซึ้ง ในนิทรรศการ Rhapsody of Romance ซึ่งจัดขึ้น ณ บริเวณ ICONLUXE Pop Up Space ชั้น 1 ศูนย์การค้า ICONSIAM จนถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2024 ก่อนจะถูกส่งให้นักสะสมที่ซื้องานศิลปะแห่งรักเหล่านี้เก็บไว้ในครอบครองต่อไป
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Pop Mart บริษัทอาร์ตทอยสุดฮอต หนุนผู้ก่อตั้งขึ้นแท่นมหาเศรษฐี
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine