Into “Le Cercle”with Pernod Ricard - Forbes Thailand
เรื่อง: สุทธาสินี จิตรกรรมไทย / ภาพ: Pernod Ricard สิ่งที่ Forbes Life บอกคุณไม่เกินความจริงเลยสักนิด เพราะด้วยทำเลซึ่งตั้งอยู่บนตึกสูงกว่า 60 ชั้นนี่เอง ทำให้แชมเปญบาร์แห่งนี้ครองตำแหน่งดังกล่าวไปโดยปริยาย ที่นั่นคุณสามารถชื่นชมทัศนียภาพโดยรอบของกรุงเทพฯ แบบมุมสูง พร้อมดื่มด่ำความงามยามค่ำคืนของมหานครแห่งนี้ ที่ประดับประดาไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ และแน่นอนว่ายังได้จิบแชมเปญรสเลิศจาก Perrier-Jouët ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับเพรสทีจในกลุ่ม Pernod Ricard ส่งตรงจากแคว้น Champagne ทั้ง Perrier-Jouët Grand Brut, Perrier-Jouët Belle Epoque และ Perrier-Jouët Blason Rosé มาให้ได้สัมผัสรสชาตินุ่มละมุน Thibaut de Poutier de Sone ในวันที่เราไปเยือน Flûte-A Perrier-Jouët Bar เป็นจังหวะเดียวกับที่ Thibaut de Poutier de Sone ผู้เป็น Executive VP On-Trade & Luxury Development ของ Pernod Ricard เดินทางมาเยือนเมืองไทยพอดี เราจึงมีโอกาสสนทนากับผู้บริหารระดับสูงขององค์กรที่มีแบรนด์ทั้งสุรา ไวน์ แชมเปญ คอนญัก วิสกี้ วอดก้า ฯลฯ อยู่ในความดูแลรวมแล้วถึง 37 แบรนด์ เช่น Chivas Regal, Absolut Vodka Jameson, Martell ฯลฯ ครอบคลุมไลฟ์สไตล์การดื่มของคนทุกกลุ่ม หากมองในภาพรวมทั่วโลก Pernod Ricard คือเบอร์ 2 ในตลาดไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ถ้าจำเพาะเจาะจงไปที่ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับพรีเมียมและเพรสทีจแล้ว แน่นอนว่า Pernod Ricardยังคงครองบัลลังก์อย่างเหนียวแน่น โดยที่ในปีงบประมาณ 2014/2015 นั้น Pernod Ricard มียอดขายรวม 8,558 ล้านยูโร และมีกำไรจากการดำเนินธุรกิจสูงถึง 2,238 ล้านยูโร Thibaut de Poutier de Sone เล่าให้ Forbes Life ฟังถึงความคึกคักของตลาดลักชัวรี่ในปี 2015 จากการวิจัยของ Bain & Company ตลาดลักชัวรี่ มีมูลค่ารวมราว 1,044 พันล้านยูโร กระโดดจากปี 2014 ประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์ สินค้าที่มาแรงที่สุดในตลาดลักชัวรี่คือรถยนต์ที่ครองสัดส่วนมูลค่า 405 พันล้านยูโร รองลงมาคือสินค้าหรูทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า นาฬิกา ฯลฯ ซึ่งมีมูลค่า 253 พันล้านยูโร ตามด้วยโรงแรมที่มีมูลค่าประมาณ 176 พันล้านยูโร ส่วนไวน์และสุราอยู่ที่ 64 พันล้านยูโร ในมุมมองของผู้บริหารหนุ่มคนนี้เห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้ตลาดลักชัวรี่เติบโตก็คือ จำนวนนักท่อง-เที่ยวที่เดินทางระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ และจำนวนของผู้คนที่มีกำลังซื้อสูงที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เพื่อรั้งตำแหน่งเบอร์ 1 ของตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับพรีเมียมและเพรสทีจ รวมทั้งเจาะกลุ่มผู้ที่ Thibaut de Poutier de Sone เรียกว่า High-Net-Worth Individuals (HNWIs) หรือผู้ที่มีสินทรัพย์สภาพคล่องมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไป ซึ่งขณะนี้มีกว่า 14 ล้านคนทั่วโลก และเติบโตขึ้นราว 7 เปอร์เซ็นต์ทุกปี ทั้งยังเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อถึงเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ในตลาดลักชัวรี่ Pernod Ricard จึงมีกลยุทธ์ Le Cercle จัดพอร์ตแบรนด์หรูที่มีประวัติความเป็นมาร่วมร้อยปีและสั่งสมชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน เช่น Royal Salute, Martell, The Glenlivet, Perrier-Jouët ฯลฯ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเครื่องดื่มชั้นสูงของคนกลุ่มนี้ โดยเฉพาะ เราจึงได้เห็น Flûte-A Perrier-Jouët Bar ในเมืองไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มี HNWIs อยู่มากกว่า 8 หมื่นคน ไม่เพียงแค่จัดพอร์ตแบรนด์ชั้นเยี่ยม แต่ Pernod Ricard ยังจัดทีมผู้บริหารระดับสูง (แน่นอนว่าต้องรวมบุคคลที่เรากำลังสนทนาอยู่ขณะนี้เข้าไปด้วย) และพนักงานเพื่อดูแลผลิตภัณฑ์ลักชัวรี่ รวมถึงทำความเข้าใจการใช้ชีวิตและความชอบของกลุ่ม HNWIs “เพราะนอกจากโรงแรมหรือบาร์ชื่อดังที่พวกเขานิยมไปแฮงก์เอ๊าต์กันแล้ว ยังมีสถานที่อีกหลายแห่งที่เอ็กซ์คลูซีฟจริงๆ ที่พวกเขาจะเลือกไปใช้เวลาพักผ่อนหรือกินดื่มด้วยกัน ทีมงานของเราจึงต้องรู้จักการใช้ชีวิตของกลุ่มคนเหล่านี้ เพื่อจะได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการชั้นยอดออกมา” ผู้บริหารหนุ่มอธิบาย ขณะเดียวกันก็เจาะกลุ่มลูกค้าผู้จัดอยู่ในระดับมั่งคั่งที่มีอยู่ราว 140 ล้านคนทั่วโลกอีกด้วย Patrick Castanier สำหรับเมืองไทย Patrick Castanier คือบุคคลผู้รับบทหัวเรือใหญ่ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2013 เขาสร้างชื่อ Pernod Ricard และแบรนด์ต่างๆ ในกลุ่มให้ครองใจคนไทยได้มากขึ้น เช่น การจัดอีเวนต์ร่วมกับโรงแรมและร้านอาหารชั้นนำของเมืองไทยหลายแห่ง หรือเป็นพันธมิตรร่วมกับองค์กรต่างๆ หลังจากเราพบเขาหลายครั้ง ทั้งในงาน Forbe24s Thailand Forum และโครงการ “The Venture” ของ Chivas Regal ที่เฟ้นหานักธุรกิจผู้มีแนวคิดช่วยเหลือสังคมแล้ว ต้องยอมรับว่า Patrick Castanier คือผู้บริหารมากความสามารถคนหนึ่งทีเดียว ท่ามกลางกระแสการแข่งขันอันเชี่ยวกรากในธุรกิจลักชัวรี่ แต่ Pernod Ricard กลับไม่เร่งรีบขยายตลาด “เราต้องการจะเป็นองค์กรที่เติบโตไปทีละก้าวอย่างมั่นคงครับ” คือคำอธิบายทิ้งท้ายของ Thibaut de Poutier de Sone
คลิ๊กอ่านทุกเรื่องราวของความมีรสนิยมได้ที่ ForbesLife Thailand ฉบับ MARCH 2016 ในรูปแบบ E-Magazine