อดีตนางพยาบาลที่ครั้งหนึ่งเคยลุ่มหลงในอบายมุขเพียงเพราะประชดสามีที่ติดพนันวัวลานแต่ตัวเธอกลับถลำลึกสร้างหนี้จนต้องขายทรัพย์สินหมดตัว จบลงที่การแยกทางกับสามีและเผชิญภาวะหลังชนฝา ยืนหยัดเลี้ยงดูลูกสองคนด้วยตัวเธอเอง
มนิตา สุตันติราษฎร์ กรรมผู้จัดการ บริษัท เคเอซัพพลาย จำกัด ย้อนอดีตต่อ Forbes Thailand ณ โรงแรมดิโอวาเลย์ (The O Valley) อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ถึงวันแรกที่ตัดสินใจวางเดิมพันกับธุรกิจค้าส่งน้ำมันเมื่อปี 2539 ว่า ด้วยโอกาสอันไม่คาดฝัน มีผู้แนะนำให้เธอรู้จักและพูดคุยกับกรรมการผู้จัดการของบริษัท Chevron ประเทศไทย ในขณะนั้นที่เดินทางจากกรุงเทพฯ มาดูแลเรื่องการขยายตลาดในภาคใต้ และหาตัวแทนค้าส่งน้ำมันรายใหม่ ด้วยเคมีที่ผสมกันอย่างลงตัว ผู้บริหารจาก Chevron และมนิตาจึงจับมือทำธรุกิจค้าส่งน้ำมันร่วมกัน แจ้งเกิดธุรกิจค้าส่งน้ำมันขึ้นที่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ขณะที่นักธุรกิจหน้าใหม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อเดือน เป็นทุนก้อนแรก 200,000 แสนบาท “ค้าน้ำมันน่าจะเป็นธุรกิจที่ดี เพราะแทบทุกบ้านมีรถใช้ซึ่งเมื่อล้อขยับก็ต้องเติมน้ำมัน ดังนั้นเราก็สามารถขายได้ตลอด” ปัจจุบันรายได้หลักของครอบครัวคือธุรกิจค้าส่งน้ำมันเชื้อเพลิงรวม 4 บริษัท มียอดขายรวมเฉลี่ยแต่ละเดือนอยู่ที่ 20-25 ล้านลิตร ส่วนเหตุผลที่ต้องแบ่งบริษัทค้าส่งน้ำมันออกเป็น 4 แห่ง คือ ไม่ต้องการให้มียอดขายเกินกว่า 120 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่กฎหมายกำหนดให้สร้างคลังเก็บน้ำมันของผู้ค้า ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก อัตราแลกเปลี่ยน และกำไรที่ไม่สูงนักเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น ดังนั้น การควบคุมจำนวนบุคลากร จึงช่วยลดต้นทุนได้มาก มนิตาใช้พนักงานเพียง 7 คน รวมตัวเธอในการบริหาร 4 บริษัท ด้วยสำนักงาน 2 แห่ง คือ สงขลาและสุราษฎร์ธานี โดยเธอคุมเรื่องการเงินทั้งหมดเอง และด้วยคำแนะนำแบบปากต่อปากของลูกค้าที่ประทับใจในบริการ ฐานลูกค้าที่เป็นสถานีบริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงเกือบ 100 รายในปัจจุบัน ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ชุมพรถึงนราธิวาส ซึ่งในระยะ 3 ปีนี้ มนิตามุ่งรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ให้ได้มากกว่าที่จะเร่งขยายการเติบโตในกลุ่มลูกค้าใหม่ แต่เมื่อเกิดสะดุดจากสงครามตัดราคาของผู้ผลิตน้ำมันรายอื่นส่งผลให้มนิตาไม่สามารถขายน้ำมันในราคาถูกกว่าผู้ค้าส่งรายอื่นได้ที่ต้นทุนต่ำกว่าได้ “ตอนนั้นเราเปิดบัญชีซื้อน้ำมันจาก Chevron รายเดียวก็สู้ราคาตลาดไม่ได้” มนิตา เล่าถึงปัญหาที่เธอต้องเผชิญจนนำไปสู่ทางออกที่พลิกแพลงใหม่โดยนำเงินค่าน้ำมันจากลูกค้าไปฝากไว้กับธนาคารแทนแล้วจึงจ่ายค่าน้ำมันแก่ Chevron เป็นตั๋วแลกเงินในอีก 30 วัน จึงเท่ากับมีรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มในอัตราเกือบ 15% ในช่วงเครดิต 30 วันมาชดเชย เมื่อทำธุรกิจค้าส่งน้ำมันที่หาดใหญ่ มาได้สักระยะ และเล็งเห็นว่าตลาดเริ่มเต็มแล้วจึงตัดสินใจย้ายสำนักงานใหญ่มาไว้ที่สุราษฎร์ฯ เมื่อปี 2540 ปัจจุบันเธอมีปั๊มน้ำมัน 8 สาขา 3 แบรนด์ คือ มนิตาออยล์แอนด์เซอร์วิส 4 สาขา Esso 3 สาขา และ PTT 1 สาขา ทั้งหมดอยู่ภายใต้ห้างหุ้นส่วนจำกัดมนิตาออยล์ แอนด์ เซอร์วิส ซึ่ง วิทวัส ปรงแก้วลูกชายคนโตวัย 29 ปี รับหน้าที่ผู้จัดการ หลังประสบความสำเร็จกับธุรกิจน้ำมัน มนิตาปรารถนาจะมีโรงแรมเป็นของตัวเอง เธอสร้าง โรงแรมดิโอวาเลย์ บนที่ดินกว่า 21 ไร่ ริมถนนเพชรเกษมห่างจากสนามบินสุราษฎร์ฯ เพียง 8 กิโลเมตร เปิดให้บริการเมื่อปี 2556 แม้เปิดกิจการมาได้ไม่นาน แต่โรงแรมดิโอวาเลย์ก็มีกำไรเลี้ยงตัวเองได้ หากเป็นช่วงหน้าเทศกาลที่มีการจัดงานมากๆ ก็ทำกำไรได้ถึง 4 ล้านบาทต่อเดือน โดยมอบหมายให้ลูกสาวคนเล็ก สุมิตรา สุตันติราษฎร์ วัย 26 ปี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิโอวาเลย์ จำกัด เป็นผู้ดูแล สำหรับก้าวต่อไปของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณแม่ลูกสองเป็นผู้นำคือการปั้นโรงแรมในเมืองสุราษฎร์ฯอ่านฉบับเต็ม "มนิตา สุตันติราษฎร์ ค้าน้ำมันล้างหนี้พนัน" ได้ที่ FORBES THAILAND ฉบับ JUNE 2015