“ช็อกโกแลตวาเลนไทน์” ใส่การตลาดให้ของเหลือ สู่ธรรมเนียมที่สร้างกำไร - Forbes Thailand

“ช็อกโกแลตวาเลนไทน์” ใส่การตลาดให้ของเหลือ สู่ธรรมเนียมที่สร้างกำไร

14 กุมภาพันธ์ เวียนมาอีกครั้ง วันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรักที่คู่รักหลายคู่ถือเป็นโอกาสเฉลิมฉลอง สร้างความทรงจำแสนพิเศษ และมอบของขวัญให้แก่กัน ซึ่งหนึ่งในของขวัญยอดนิยมประจำวันนี้คือขนมหวานสุดคลาสสิกอย่างช็อกโกแลตนั่นเอง


    แต่ทุกคนเคยสงสัยหรือไม่ว่าเหตุใดช็อกโกแลตจึงกลายมาเป็นของขวัญแทนใจประจำวันวาเลนไทน์ไปเสียได้?

    ทุกอย่างเริ่มต้นจากการประยุกต์ด้วยความสร้างสรรค์ ทั้งที่มาที่ไปของวันแห่งความรักที่เดิมเป็นวันสำคัญทางศาสนา และช็อกโกแลตซึ่งเคยเป็นเครื่องดื่มนำเข้าจากแดนไกลของชนชั้นสูง


จากตำนานนักบุญ สู่วันแห่งรักโรแมนติก

    วันวาเลนไทน์มีที่มาจาก “วาเลนตินุส” นักบวชที่เล่ากันว่าเคยมีชีวิตอยู่ในยุคโรมันโบราณ สมัยนั้นความขัดแย้งระหว่างความเชื่อเก่าของโรมันและศาสนาคริสต์ที่เข้ามามีอิทธิพลรุนแรงมาก และนักบวชวาเลนตินุสก็ถูกประหารเนื่องจากฝ่าฝืนคำสั่งของจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ซึ่งห้ามไม่ให้มีการทำพิธีแต่งงานแบบคริสต์


นักบุญวาเลนตินุส


    หลายร้อยปีต่อมา นักบวชวาเลนตินุสก็ได้รับยกย่องให้เป็นนักบุญ และวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นวันที่วาเลนตินุสถูกประหาร ก็กลับกลายเป็นวันวาเลนไทน์เพื่อระลึกถึงเขานั่นเอง

    กระทั่งช่วงปี 1375 นักประพันธ์ชาวอังกฤษ Geoffrey Chaucer ก็เขียนบทกวีที่เชื่อมโยงวันนักบุญวาเลนไทน์กับความรักโรแมนติก และเป็นผู้เปลี่ยนทิศทางของวันวาเลนไทน์ ให้กลายเป็นวันแห่งความรักดังเช่นทุกวันนี้

    ส่วนธรรมเนียมการมอบช็อกโกแล็ตในวันวาเลนไทน์นั้น เกิดจากการตลาดของแบรนด์ช็อกโกแลตสัญชาติอังกฤษในยุควิกตอเรียนล้วนๆ


ช็อกโกแลตวาเลนไทน์ การตลาดทลายกำแพงชนชั้น

    อันที่จริง เดิมนั้นช็อกโกแลตก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความรักหรือวันวาเลนไทน์เลย โดยต้นกำเนิดมาจากเครื่องดื่มที่เรียกว่า “Xocolatl” ในเมโสอเมริกา ซึ่งเครื่องดื่มชนิดนี้ผลิตจากเมล็ดโกโก้ พริก และเครื่องเทศ หลังนักเดินทางจากยุโรปมาเยือนดินแดนแห่งนี้ พวกเขาก็นำเครื่องดื่มดังกล่าวกลับไปเผยแพร่ในราชสำนักสเปน ฝรั่งเศส และอังกฤษในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17

    เมื่อเครื่องดื่มอันเป็นต้นกำเนิดช็อกโกแลตถูกนำเข้ามาทางราชสำนัก จึงได้กลายเป็นเครื่องดื่มที่แสดงถึงอำนาจและอิทธิพลของชนชั้นปกครองไปโดยปริยาย ก่อนจะขยับขยายมายังกลุ่มผู้มั่งคั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม มีเพียงคนรวยเท่านั้นที่เข้าถึงช็อกโกแลตได้ เพราะต้องนำเข้าจากต่างประเทศและผ่านขั้นตอนหลายอย่าง อีกทั้งน้ำตาลที่เป็นส่วนผสมสำคัญยังมีราคาแพงไม่แพ้กัน


Richard Cadbury


    กระทั่งช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1860 ณ ประเทศอังกฤษ Richard Cadbury ทายาทแบรนด์ช็อกโกแลตยอดนิยมของอังกฤษ Cadbury นึกหาวิธีใช้งานเนยโกโก้ (Cocoa Butter) ที่เหลือจากกระบวนการผลิตเครื่องดื่มช็อกโกแลต ก่อนจะเกิดไอเดียทำขนมช็อกโกแลตแบบก้อนที่นอกจากอร่อยแล้วยังมีราคาประหยัด ทลายกรอบชนชั้นของผู้บริโภคไปโดยปริยาย

    Richard Cadbury ไม่หยุดเพียงผลิตภัณฑ์ แต่เขายังสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์ให้ดูสวยงามมีมูลค่า นั่นคือกล่องใส่ช็อกโกแลตรูปหัวใจ ประดับลวดลายกามเทพและดอกกุหลาบอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักโรแมนติกยอดนิยมของยุควิกตอเรียน โดยกล่องช็อกโกแลตเหล่านี้ยังสามารถนำไปใช้เก็บของอื่นๆ ต่อได้อีกด้วย

    ผลลัพธ์คือสินค้าที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ช็อกโกแลตก้อนกลับกลายเป็นขนมหวานซึ่งนอกจากความอร่อยแล้วยังสามารถทำกำไรได้งดงาม พร้อมพลิกประวัติศาสตร์วันวาเลนไทน์ไปตลอดกาล

    หลังจากนั้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 น้ำตาลก็กลับกลายเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ยิ่งทำให้ชนชั้นแรงงานเข้าถึงขนมหวานที่ทำจากโกโก้และน้ำตาลชนิดนี้ได้ง่ายขึ้น จนไม่ว่าใครก็สามารถดื่มด่ำกับรสชาติของช็อกโกแลตได้ ไม่ใช่เพียงชนชั้นสูงอีกต่อไป


ธรรมเนียมดันยอดขาย โอกาสของบริษัทขนม

    ปัจจุบัน ช็อกโกแลตคือหนึ่งในของขวัญยอดนิยมประจำวันวาเลนไทน์ เปิดโอกาสให้บริษัทขนมหวานต่างๆ ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และโปรโมชั่นมาเพิ่มยอดขายเพื่อทำกำไรโดยจะเริ่มปล่อยออกมาเป็นตัวเลือกให้ผู้บริโภคกันล่วงหน้าตั้งแต่เดือนมกราคม


ให้ช็อกโกแลตเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์


    Hershey ผู้ผลิตช็อกโกแลตจากสหรัฐอเมริกาเคยเผยว่าวาเลนไทน์คือช่วงเวลาที่บริษัทสามารถสร้างรายได้มากเป็นอันดับ 4 รองจากฮาโลวีน อีสเตอร์ และคริสต์มาส

    ในขณะที่ Mark Wakefied รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดของ Ferrero กล่าวว่า ปกติแล้วพวกเขาจะเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนวาเลนไทน์นานถึง 15 เดือนเลยทีเดียว ส่วน Nurtac Afridi ซีอีโอแห่ง Godiva บอกว่า 13% ของยอดขายประจำปีในอเมริกาเหนือมาจากวันวาเลนไทน์

    โดยทั้ง Ferrero และ Godiva ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าบรรจุภัณฑ์คือสิ่งสำคัญไม่แพ้ขนมข้างใน การออกแบบกล่องและห่อขนมให้มีความพิเศษในฐานะของขวัญนับเป็นกลยุทธ์ที่เอาชนะใจลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    กระนั้นก็ตาม สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกโกโก้อย่างหนักตลอดปีที่ผ่านมา พาให้ราคาของโกโก้พุ่งสูง เพิ่มต้นทุนให้กับผู้ผลิตช็อกโกแลตอย่างมาก กระทั่ง Hershey ที่เป็นรายใหญ่ยังออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกำไรประจำปี 2024 เช่นกัน

    คงต้องรอดูกันว่า อำนาจของวันแห่งความรัก จะช่วยสร้างยอดขายให้บรรดาบริษัทขนมหวานได้มากแค่ไหนในปีนี้


แหล่งที่มา:

Valentines Day Chocolates: How They Became the Love Food

How Chocolate and Valentine’s Day Mated for Life

Why Chocolate on Valentine's Day?

Valentine's Day gifts: Americans expected to spend $25.8 billion this year

How chocolate makers inspire devotion from consumers on Valentine’s Day

Record cocoa prices heading into Valentines Day proves to be a headache for sweets king Hershey

How chocolate fell in love with Valentine’s Day


​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Pipatchara เปลี่ยนขยะไร้ค่าสู่สินค้าแฟชั่นแบรนด์ไทยในตลาดโลก

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine