<h2>14 กุมภาพันธ์ เวียนมาอีกครั้ง วันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรักที่คู่รักหลายคู่ถือเป็นโอกาสเฉลิมฉลอง สร้างความทรงจำแสนพิเศษ และมอบของขวัญให้แก่กัน ซึ่งหนึ่งในของขวัญยอดนิยมประจำวันนี้คือขนมหวานสุดคลาสสิกอย่างช็อกโกแลตนั่นเอง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ทุกคนเคยสงสัยหรือไม่ว่าเหตุใดช็อกโกแลตจึงกลายมาเป็นของขวัญแทนใจประจำวันวาเลนไทน์ไปเสียได้?&nbsp; &nbsp;&nbsp;ทุกอย่างเริ่มต้นจากการประยุกต์ด้วยความสร้างสรรค์ ทั้งที่มาที่ไปของวันแห่งความรักที่เดิมเป็นวันสำคัญทางศาสนา และช็อกโกแลตซึ่งเคยเป็นเครื่องดื่มนำเข้าจากแดนไกลของชนชั้นสูง จากตำนานนักบุญ สู่วันแห่งรักโรแมนติก&nbsp; &nbsp;&nbsp;วันวาเลนไทน์มีที่มาจาก “วาเลนตินุส” นักบวชที่เล่ากันว่าเคยมีชีวิตอยู่ในยุคโรมันโบราณ สมัยนั้นความขัดแย้งระหว่างความเชื่อเก่าของโรมันและศาสนาคริสต์ที่เข้ามามีอิทธิพลรุนแรงมาก และนักบวชวาเลนตินุสก็ถูกประหารเนื่องจากฝ่าฝืนคำสั่งของจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ซึ่งห้ามไม่ให้มีการทำพิธีแต่งงานแบบคริสต์​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/aofjqs6ecZigq9PwvMJ7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="aofjqs6ecZigq9PwvMJ7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"><figcaption><div>นักบุญวาเลนตินุส</div></figcaption></figure></div> &nbsp; &nbsp;&nbsp;หลายร้อยปีต่อมา นักบวชวาเลนตินุสก็ได้รับยกย่องให้เป็นนักบุญ และวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นวันที่วาเลนตินุสถูกประหาร ก็กลับกลายเป็นวันวาเลนไทน์เพื่อระลึกถึงเขานั่นเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กระทั่งช่วงปี 1375 นักประพันธ์ชาวอังกฤษ Geoffrey Chaucer ก็เขียนบทกวีที่เชื่อมโยงวันนักบุญวาเลนไทน์กับความรักโรแมนติก และเป็นผู้เปลี่ยนทิศทางของวันวาเลนไทน์ ให้กลายเป็นวันแห่งความรักดังเช่นทุกวันนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนธรรมเนียมการมอบช็อกโกแล็ตในวันวาเลนไทน์นั้น เกิดจากการตลาดของแบรนด์ช็อกโกแลตสัญชาติอังกฤษในยุควิกตอเรียนล้วนๆ ช็อกโกแลตวาเลนไทน์ การตลาดทลายกำแพงชนชั้น&nbsp; &nbsp; อันที่จริง เดิมนั้นช็อกโกแลตก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความรักหรือวันวาเลนไทน์เลย โดยต้นกำเนิดมาจากเครื่องดื่มที่เรียกว่า “Xocolatl” ในเมโสอเมริกา ซึ่งเครื่องดื่มชนิดนี้ผลิตจากเมล็ดโกโก้ พริก และเครื่องเทศ หลังนักเดินทางจากยุโรปมาเยือนดินแดนแห่งนี้ พวกเขาก็นำเครื่องดื่มดังกล่าวกลับไปเผยแพร่ในราชสำนักสเปน ฝรั่งเศส และอังกฤษในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 &nbsp; &nbsp;&nbsp;เมื่อเครื่องดื่มอันเป็นต้นกำเนิดช็อกโกแลตถูกนำเข้ามาทางราชสำนัก จึงได้กลายเป็นเครื่องดื่มที่แสดงถึงอำนาจและอิทธิพลของชนชั้นปกครองไปโดยปริยาย ก่อนจะขยับขยายมายังกลุ่มผู้มั่งคั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม มีเพียงคนรวยเท่านั้นที่เข้าถึงช็อกโกแลตได้ เพราะต้องนำเข้าจากต่างประเทศและผ่านขั้นตอนหลายอย่าง อีกทั้งน้ำตาลที่เป็นส่วนผสมสำคัญยังมีราคาแพงไม่แพ้กัน​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/4uDM6ZE4fsZzrRbqn2y1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4uDM6ZE4fsZzrRbqn2y1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"><figcaption><div>Richard Cadbury</div></figcaption></figure></div> &nbsp; &nbsp;&nbsp;กระทั่งช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1860 ณ ประเทศอังกฤษ Richard Cadbury ทายาทแบรนด์ช็อกโกแลตยอดนิยมของอังกฤษ Cadbury นึกหาวิธีใช้งานเนยโกโก้ (Cocoa Butter) ที่เหลือจากกระบวนการผลิตเครื่องดื่มช็อกโกแลต ก่อนจะเกิดไอเดียทำขนมช็อกโกแลตแบบก้อนที่นอกจากอร่อยแล้วยังมีราคาประหยัด ทลายกรอบชนชั้นของผู้บริโภคไปโดยปริยาย&nbsp; &nbsp;&nbsp;Richard Cadbury ไม่หยุดเพียงผลิตภัณฑ์ แต่เขายังสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์ให้ดูสวยงามมีมูลค่า นั่นคือกล่องใส่ช็อกโกแลตรูปหัวใจ ประดับลวดลายกามเทพและดอกกุหลาบอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักโรแมนติกยอดนิยมของยุควิกตอเรียน โดยกล่องช็อกโกแลตเหล่านี้ยังสามารถนำไปใช้เก็บของอื่นๆ ต่อได้อีกด้วย&nbsp; &nbsp;&nbsp;ผลลัพธ์คือสินค้าที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ช็อกโกแลตก้อนกลับกลายเป็นขนมหวานซึ่งนอกจากความอร่อยแล้วยังสามารถทำกำไรได้งดงาม พร้อมพลิกประวัติศาสตร์วันวาเลนไทน์ไปตลอดกาล&nbsp; &nbsp;&nbsp;หลังจากนั้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 น้ำตาลก็กลับกลายเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ยิ่งทำให้ชนชั้นแรงงานเข้าถึงขนมหวานที่ทำจากโกโก้และน้ำตาลชนิดนี้ได้ง่ายขึ้น จนไม่ว่าใครก็สามารถดื่มด่ำกับรสชาติของช็อกโกแลตได้ ไม่ใช่เพียงชนชั้นสูงอีกต่อไป ธรรมเนียมดันยอดขาย โอกาสของบริษัทขนม&nbsp; &nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน ช็อกโกแลตคือหนึ่งในของขวัญยอดนิยมประจำวันวาเลนไทน์ เปิดโอกาสให้บริษัทขนมหวานต่างๆ ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และโปรโมชั่นมาเพิ่มยอดขายเพื่อทำกำไรโดยจะเริ่มปล่อยออกมาเป็นตัวเลือกให้ผู้บริโภคกันล่วงหน้าตั้งแต่เดือนมกราคม​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/XXo5Vh88uwy73cgNxp5F.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="XXo5Vh88uwy73cgNxp5F.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"><figcaption><div>ให้ช็อกโกแลตเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์</div></figcaption></figure></div> &nbsp; &nbsp;&nbsp;Hershey ผู้ผลิตช็อกโกแลตจากสหรัฐอเมริกาเคยเผยว่าวาเลนไทน์คือช่วงเวลาที่บริษัทสามารถสร้างรายได้มากเป็นอันดับ 4 รองจากฮาโลวีน อีสเตอร์ และคริสต์มาส&nbsp; &nbsp;&nbsp;ในขณะที่ Mark Wakefied รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดของ Ferrero กล่าวว่า ปกติแล้วพวกเขาจะเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนวาเลนไทน์นานถึง 15 เดือนเลยทีเดียว ส่วน Nurtac Afridi ซีอีโอแห่ง Godiva บอกว่า 13% ของยอดขายประจำปีในอเมริกาเหนือมาจากวันวาเลนไทน์&nbsp; &nbsp;&nbsp;โดยทั้ง Ferrero และ Godiva ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าบรรจุภัณฑ์คือสิ่งสำคัญไม่แพ้ขนมข้างใน การออกแบบกล่องและห่อขนมให้มีความพิเศษในฐานะของขวัญนับเป็นกลยุทธ์ที่เอาชนะใจลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ&nbsp; &nbsp;&nbsp;กระนั้นก็ตาม สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกโกโก้อย่างหนักตลอดปีที่ผ่านมา พาให้ราคาของโกโก้พุ่งสูง เพิ่มต้นทุนให้กับผู้ผลิตช็อกโกแลตอย่างมาก กระทั่ง Hershey ที่เป็นรายใหญ่ยังออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกำไรประจำปี 2024 เช่นกัน&nbsp; &nbsp;&nbsp;คงต้องรอดูกันว่า อำนาจของวันแห่งความรัก จะช่วยสร้างยอดขายให้บรรดาบริษัทขนมหวานได้มากแค่ไหนในปีนี้ แหล่งที่มา:​<a href="https://meltchocolates.com/valentines-day-chocolates/" alt="Valentines Day Chocolates: How They Became the Love Food">Valentines Day Chocolates: How They Became the Love Food</a>​ ​<a href="https://www.smithsonianmag.com/smithsonian-institution/how-chocolate-and-valentines-day-mated-life-180954228/" alt="How Chocolate and Valentine’s Day Mated for Life">How Chocolate and Valentine’s Day Mated for Life</a>​ ​<a href="https://www.santabarbarachocolate.com/blog/why-chocolate-on-valentines-day/" alt="Why Chocolate on Valentine's Day?">Why Chocolate on Valentine's Day?</a>​ ​<a href="https://www.foxbusiness.com/features/valentines-day-businesses-companies-profit-love" alt="Valentine's Day gifts: Americans expected to spend $25.8 billion this year">Valentine's Day gifts: Americans expected to spend $25.8 billion this year</a>​ ​<a href="https://www.fooddive.com/news/valentines-day-chocolate-brand-loyalty-ferrero-godiva/642695/" alt="How chocolate makers inspire devotion from consumers on Valentine’s Day">How chocolate makers inspire devotion from consumers on Valentine’s Day</a>​ ​<a href="https://whyy.org/articles/record-cocoa-prices-heading-into-valentines-day-proves-to-be-a-headache-for-sweets-king-hershey/" alt="Record cocoa prices heading into Valentines Day proves to be a headache for sweets king Hershey">Record cocoa prices heading into Valentines Day proves to be a headache for sweets king Hershey</a>​ ​<a href="https://edition.cnn.com/2021/02/12/health/history-of-chocolate-valentines-day-wellness/index.html" alt="How chocolate fell in love with Valentine’s Day">How chocolate fell in love with Valentine’s Day</a>​ ​​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/executive-interview/pipatchara-turns-worthless-waste-into-thai-fashion-products" alt="Pipatchara เปลี่ยนขยะไร้ค่าสู่สินค้าแฟชั่นแบรนด์ไทยในตลาดโลก">Pipatchara เปลี่ยนขยะไร้ค่าสู่สินค้าแฟชั่นแบรนด์ไทยในตลาดโลก</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“ช็อกโกแลตวาเลนไทน์” ใส่การตลาดให้ของเหลือ สู่ธรรมเนียมที่สร้างกำไร

<h2>วาเลนไทน์ปีนี้ถือเป็นปีที่ 40 ของ KFC Thailand กับเรื่องราวแห่งความรักหลากหลายความทรงจำ หลากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ KFC ที่ที่หลายคู่รักได้ออกเดต ได้มีโมเม้นต์หวานๆ ระหว่างมื้อ KFC กรอบๆ โอกาสพิเศษแบบนี้ KFC และผู้พันแซนเดอร์สขอฉลองแบบลักชูให้แก่ความรักตลอด 40 ปี ด้วยการเป็นตัวแทนแห่งรัก นิรันดร์กับแหวนอัญมณีแทนใจทำจากไก่ทอด KFC ครั้งแรกของโลก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;The Fried Chicken Ring แหวนอัญมณีเม็ดงามวงนี้ มีเพียง 11 วงในโลกเท่านั้น พร้อมแล้วที่จะมอบให้กับ 11 คู่รัก กับ 11 เรื่องราวแห่งรักที่พร้อมจะเป็นตำนานแห่งความรักที่ KFC โดย “แหวนอัญมณีไก่ทอดแทนใจ” นี้ สร้างสรรค์จากไก่ทอด KFC แท้ๆ​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 750px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/QivCCwQSaR869PPfvLjz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="750px,562px" data-align="center" data-file-name="QivCCwQSaR869PPfvLjz.jpg" data-file-size="0" origin-size="750,562" data-origin="750px,562px" style="width: 750px; height: 562px;" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp; &nbsp; แหวนอัญมณีเหล่านี้ผ่านการออกแบบ ความชำนาญ และความประณีตจาก GEMORIES ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนอินทรียสาร มาร่วมคอลแล็บ ให้เนื้อไก่ทอดกรอบ KFC กลายเป็นอัญมณีที่เลอค่าพร้อมเชิดชูความรัก ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่จำลองกระบวนการกำเนิดอัญมณีตามธรรมชาติ หรือการทำอัญมณีสังเคราะห์ โดยนำ ‘ไก่ทอด KFC’ ไปผ่านความร้อนสูงถึง 1,800 องศา และผ่านแรงดัน 11 ชั่วโมง จนกลายเป็นอัญมณีจากไก่ทอด KFC ครั้งแรกของโลก ​<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/LuMswTtCgd8QnVUU5N8j.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="LuMswTtCgd8QnVUU5N8j.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="750,562" style="" data-index="1"></figure></div>​​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซูเฮล ลิมบาดะ (Suhayl Limbada) ประธานบริหารฝ่ายการตลาด KFC ประเทศไทย กล่าวว่า “KFC และทีมงานหน้าร้านทุกคนล้วนได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในโมเม้นต์แห่งความรักที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะที่ KFC สาขาไหนก็ตามในไทย นอกเหนือจากการเป็นสถานที่ที่เคยมีส่วนในการสร้างความทรงจำแห่งความรักให้กับหลายๆ คู่รักในไทยแล้ว วาเลนไทน์ปีนี้ เราจึงขอมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้นด้วยการสร้างอีกหนึ่งความทรงจำแห่งรักนิรันดร์ด้วยสัญลักษณ์แทนใจและคำมั่นสัญญาแห่งรักที่จะมีให้กันและกันตลอดไปผ่านแหวน The Fried Chicken Ring”&nbsp;&nbsp; &nbsp; โดยแหวนที่มีเพียง 11 วงในโลกนี้จะมอบให้แก่คู่รักผู้โชคดีที่เข้าร่วมกิจกรรมผ่านช่องทางโซเชียลของ KFC THAILAND เท่านั้น ​​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/hr/adecco-it-growth-in-labour-market-with-ai-trend" alt="ตลาดแรงงานคึกคัก ชิงทาเลนต์สายไอที ค่าตัวพุ่ง 1 แสนบาท">ตลาดแรงงานคึกคัก ชิงทาเลนต์สายไอที ค่าตัวพุ่ง 1 แสนบาท</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

KFC ขอฉลองวาเลนไทน์สไตล์ลักชู ผลิตแหวน “อัญมณีจากไก่ทอด” เพียง 11 วงในโลก!

เปิดประวัติ ‘5 คู่รักนักธุรกิจ’ ของเมืองไทย สองประสานร่วมสร้างความสำเร็จ

<h2>ในญี่ปุ่น เทศกาลวันวาเลนไทน์มีความแตกต่างจากประเทศอื่น เพราะมีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่ถูกคาดหวังให้เป็นผู้มอบช็อกโกแลตแก่คู่รักของตน ไม่เพียงแค่นั้น สังคมยังคาดหวังให้ผู้หญิงมอบช็อกโกแลตแก่เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย และบางครั้ง แม้กระทั่งคนในครอบครัว</h2>
สิ่งนี้เรียกขานกันว่า giri-choko หมายถึง ช็อกโกแลตตามธรรมเนียม ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับความโรแมนติกในวันแห่งความรักเท่าใดนักและค่อนข้างมีราคา โดยคำว่า giri ในภาษาญี่ปุ่น หมายถึงเกียรติและหน้าที่ เกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับลักษณะของแก๊งยากูซ่าซึ่งต้องรักษาหน้าที่ด้วยชีวิต คำๆ นี้เป็นรากฐานของแนวคิดเบื้องหลังช็อกโกแลต giri-choko

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ Nikkei Shimbun หนึ่งในหนังสือพิมพ์ชั้นนำของญี่ปุ่น ปรากฏภาพโฆษณาขนาด 1 หน้าเต็มของบริษัทผู้ผลิตช็อกโกแลต Godiva เรียกร้องให้สังคมหยุดการให้ช็อกโกแลตตามธรรมเนียมดังกล่าว และผลตอบรับนั้นมหาศาลยิ่ง โฆษณาชิ้นนี้กระตุ้นให้เกิดการถกเถียงมากมายในสังคมออนไลน์ไปจนถึงบทความจำนวนมากในสื่อญี่ปุ่น

ทั้งนี้ สมาคมช็อกโกแลตและโกโก้แห่งญี่ปุ่น ประเมินว่า ในแต่ละปีผู้บริโภคแดนปลาดิบมีการจับจ่ายซื้อช็อกโกแลตมากกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ ดังนั้น ขนาดเศรษฐกิจและยอดขายช็อกโกแลตจากเทศกาลนี้จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก โดยเฉพาะเมื่อชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับช็อกโกแลตที่มีคุณภาพดีในราคาเหมาะสม

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/6598139899766539d7fc0efa46bd384f.png" alt="" width="680" height="472" /><figcaption> โฆษณาของ Godiva เรียกร้องให้ผู้หญิงญี่ปุ่นหยุดมอบช็อกโกแลตตามธรรมเนียมแก่เพื่อนร่วมงาน (Cr: Jake Adelstein / forbes.com)</figcaption></figure>

สำหรับรายละเอียดข้อความในโฆษณา เป็นแถลงการณ์จาก Jerome Chouchan ประธานบริษัท Godiva Japan กล่าวว่า “แน่นอนว่าการมอบช็อกโกแลตให้กับคนที่คุณรักจากใจจริงเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องมอบช็อกโกแลตตามธรรมเนียม ความจริงแล้ว ในยุคทันสมัยเช่นนี้ไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลยจะดีกว่า” และข้อความยังระบุด้วยว่า ผู้หญิงจำนวนมากไม่ชื่นชอบธรรมเนียมนี้

ข้อความยังชวนคิดและตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงของเทศกาลวันวาเลนไทน์อีกด้วย “วันวาเลนไทน์เป็นวันที่ควรจะใช้เพื่อสารภาพความรู้สึกที่แท้จริง มิใช่วันที่ใช้เพื่อขวนขวายสร้างความสัมพันธ์ในที่ทำงาน” โฆษณาจบลงด้วยการกระตุ้นให้ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรเริ่มสั่งห้ามหรือแบนการให้ช็อกโกแลตตามธรรมเนียม

&nbsp;

แบรนด์หัวก้าวหน้าหรือการตลาดแบบลักไก่?

Asahi Shimbun หนังสือพิมพ์เสรีนิยมชั้นนำของญี่ปุ่น สรุปภาพรวมผลตอบรับจากสังคมว่า โดยทั่วไปมีความพอใจต่อแคมเปญนี้

แต่หนังสือพิมพ์ยังกล่าวถึงเสียงตอบรับในทางลบด้วย โดยบางคนมองว่ากลยุทธ์ของ Godiva ถือเป็น การตลาดที่ไม่ซื่อตรง เพราะสินค้าของ Godiva เป็นสินค้าราคาแพงกว่าช็อกโกแลตทั่วไป และมีผู้บริโภคไม่มากที่เลือกซื้อสินค้าแบรนด์นี้เป็นช็อกโกแลตตามธรรมเนียม ดังนั้น หากการยกเลิกธรรมเนียมปฏิบัตินี้สำเร็จ ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขายของแบรนด์มากนัก และอาจจะช่วยผลักดันยอดขายด้วยซ้ำ

ในขณะที่ตามสื่อสังคมออนไลน์ เช่น ทวิตเตอร์ มีหลายรายที่เรียกกลยุทธ์ของ Godiva ว่าเป็น “yokei na osewa” วลีของญี่ปุ่นที่หมายถึง “ความเอื้ออารีที่ไม่เป็นที่ต้องการ” และเป็นคำแสลงอ้อมๆ ว่า “ไปให้พ้น” ได้ด้วยในภาษาพูด

&nbsp;

จะเปลี่ยนสังคมต้องสื่อสารระยะยาว

ด้าน Daniel Fath ที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์ที่มีชื่อเสียงมากว่า 1 ทศวรรษในญี่ปุ่น มีความเห็นผสมผสานทั้งสองแง่มุมสำหรับแคมเปญนี้ “การถกเถียงเรื่องช็อกโกแลตตามธรรมเนียมไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคม และ Godiva Japan อาจจะรู้สึกตระหนักเป็นอย่างมากต่อสิทธิสตรีที่ควรจะขัดขืน ‘ธรรมเนียม’ ของออฟฟิศ โดยปกติบริษัทที่ต้องการให้ตนเองเป็นเสียงๆ หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสังคม มักจะต้องสร้างการปฏิสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้บริโภคอย่างจริงจังในเรื่องนั้น มิเช่นนั้นการกระทำของบริษัทจะถูกตีความว่าเป็นแค่แผนการทำการตลาดแบบครั้งเดียวจบ”

ในขณะที่แหล่งข่าวผู้บริหารระดับสูงด้านโฆษณาใน Tokyo รายหนึ่งกล่าวว่า สิ่งนี้ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมของ Godiva “พวกเขาพยายามจะเป็นแบรนด์หัวก้าวหน้าโดยไม่ต้องสูญเสียยอดขาย พวกเขากำลังบอกสังคมว่า ‘คุณมีอิสระที่จะเลือก’ และนั่นคือสิ่งที่คนต้องการเมื่อเลือกซื้อของ พวกเขารู้ว่าตนเองมีอิสระแต่ก็ต้องการให้แบรนด์ให้ความมั่นใจกับตัวเองด้วย แคมเปญโฆษณานี้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงเพราะมันทำให้แบรนด์ถูกพูดถึงและปรากฏบนหน้าสื่อจำนวนมาก”

<figure><img style="width: 680px; height: 448px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c1349b74c40ceccb6806fd58913f2642.png" alt="" width="680" height="448" /><figcaption> ความเห็นสองด้าน : สังคมออนไลน์มองแคมเปญของ Godiva ทั้งสองแง่มุม มีทั้งเห็นด้วยและที่รู้สึกว่าแบรนด์นี้มีความไม่จริงใจ</figcaption></figure>

Tomoko Ishii พนักงานบริษัทวิจัยตลาดแห่งหนึ่งในจังหวัด Kanagawa เห็นด้วยกับโฆษณานี้ “การซื้อช็อกโกแลตให้เพื่อนร่วมงานชักจะแพงขึ้นทุกที และคุณยังต้องระวังการส่งสัญญาณที่กำกวมให้เพื่อนอีกด้วย คุณต้องคิดเรื่องจะซื้อของราคาเท่าไหร่ แต่จะซื้อที่ถูกเกินไปก็ไม่ได้เพราะจะเป็นการดูถูกคนรับ” ทั้งนี้ การวิจัยชิ้นหนึ่งโดย Macromill เมื่อปี 2015 พบว่า งบประมาณเฉลี่ยของหญิงชาวญี่ปุ่น (วัย 20-49 ปี) ในการซื้อช็อกโกแลตวันวาเลนไทน์อยู่ที่ 4,986 เยน (ราว 1,463 บาท)

“แน่นอนว่ามีเพื่อนร่วมงานบางคนที่ฉันต้องการจะแสดงความขอบคุณจากใจ” Ishii กล่าวเสริมว่า แต่ถ้าหากหัวหน้าของเธอสั่งไม่ให้พนักงานต้องมอบช็อกโกแลตตามธรรมเนียม ก็จะทำให้เธอรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก

อย่างไรก็ตาม กวีและนักประพันธ์ Kaori Shoji มีข้อกังขาต่อแคมเปญของ Godiva เธอให้ความเห็นว่า “ฉันอยากจะบอกว่า ‘น่าละอายเสียจริง Godiva!’ พวกเขาได้กำไรจากช็อกโกแลตตามธรรมเนียมมาตั้งหลายทศวรรษจากการสร้างรอยประทับเข้าไปในจิตวิญญาณหญิงชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ แล้วตอนนี้พวกเขาจะมาประดิษฐ์ภาพลักษณ์ตัวเองใหม่ว่าเป็นยอดนักสู้เพื่อรักแท้”

สำหรับคำตอบจากประธาน Chouchan ต่อเสียงจากสาธารณะเหล่านี้ เขากล่าวว่า “เราต้องการเห็นผู้คนมีความสุขกับวันวาเลนไทน์ในฐานะเทศกาลที่เขาเหล่านั้นสามารถแสดงออกถึงความรักและความรู้สึกได้อย่าง ‘อิสระ’ ไม่ใช่การกระทำที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกที่ถูกบีบบังคับ เป็นพิธีกรรม หรือเป็นธรรมเนียม”

คงจะมีแต่ Chouchan เท่านั้นที่รู้ความจริงว่าเบื้องหลังโฆษณาชิ้นนี้เป็น “ความรู้สึกที่แท้จริง” ของกลุ่มผู้บริหารหรือไม่ เขาอาจจะมีความจริงใจหรือไม่ก็ได้ แต่ที่แน่ๆ หากประธานแห่ง Godiva Japan ต้องการสร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมญี่ปุ่น เขาก็ตีได้ตรงจุดอย่างยิ่ง

และสิ่งที่แน่นอนอีกอย่างคือ การหยุดมอบช็อกโกแลตตามธรรมเนียมในวันวาเลนไทน์ของญี่ปุ่นจะทำให้เทศกาลนี้ชื่นมื่นยิ่งขึ้น...หรืออย่างน้อยสตรีญี่ปุ่นจะเป็นกังวลกันน้อยลงกว่านี้

&nbsp;

แปลและเรียบเรียงจาก Why Godiva Japan Took Out A Full Page Ad Asking People Not To Buy Valentine's Day Chocolate โดย Jake Adelstein / forbes.com

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events