3 ผู้ก่อตั้งสาวแห่ง Tiny Organics พร้อมนำเสนออาหารเด็กเพื่อสุขภาพที่ต้องการให้เด็กๆ กล้าลอง กล้ากินอาหารที่หลากหลายรสสัมผัสมากกว่าเคย
อาหารเด็กที่ดีต่อสุขภาพเป็นที่ต้องการมากอย่างเป็นปรากฏการณ์ และรายงานของ Organic Baby Food Market นั้นก็เผยว่า ตลาดอาหารเด็กแบบออร์แกนิคทั่วโลกจะแตะ 12.65 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2027 แต่ถึงแม้ว่าวงการนี้กำลังจะไปได้สวย Institute of Food Technologists ก็ได้รายงานว่าไม่ถึงร้อยละ 10 ของเด็กตั้งแต่อายุ 12 ถึง 48 เดือนได้รับใยอาหารเพียงพอ และส่วนมากก็ได้รับใยอาหารจากเฟรนช์ฟรายส์ อีกทั้งร้อยละ 40 ของเด็กอายุ 1 ปี และร้อยละ 70 ถึง 75 ของเด็กอายุ 2 ถึง 3 ปี ได้รับโซเดียมเกินปริมาณที่กำหนดขั้นสูงไว้อีกด้วย และในเมื่อความต้องการอาหารเด็กเพื่อสุขภาพสูงขึ้น บริษัทต่างๆ อย่าง Tiny Organics ก็ทะยานขึ้นมากลายเป็นผู้บุกเบิกแห่งแวดวงนี้
Sofia Laurell ผู้นั่งตำแหน่ง co-CEO และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Tiny Organics ได้สร้างบริษัทแห่งนี้ร่วมกับ Betsy Fore และ Carolyn O’Hare พร้อมส่งมอบอาหารเด็กเพื่อสุขภาพเพื่อให้เจ้าตัวเล็กทั้งหลายได้ลิ้มรสอาหารหลากหลายรสชาติและหลากหลายเนื้อสัมผัส โดยร้อยละ 70 ของอาหารจากบริษัทของพวกเธอเป็นอาหารที่มีผักเป็นวัตถุดิบหลัก
ในการระดมทุนซีรีย์ A ทางบริษัทสามารถคว้าทุนมาได้มากกว่า 11 ล้านเหรียญโดยมี Springdale Ventures เป็นหัวเรือในการระดมทุนครั้งนั้น โดยนักลงทุนชื่อดังคนอื่นๆ ที่เข้าร่วมก็มีทั้ง InvestEco, Silas Capital, Human Ventures และ Babylist
“ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ในตลาดผลิตขึ้นมาเพื่อให้คงสภาพบนชั้นวางขาย” Laurell อธิบาย “ส่วนมาแล้วมักจะเป็นอาหารบดละเอียดไม่ก็ปั่น และส่วนใหญ่ก็หวานมาก เพราะถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ใส่น้ำตาลเพิ่มลงไป แต่หากคุณมีผลไม้บดละเอียดละก็ มันก็ต้องหวานโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้น สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากเจ้าอื่นที่สุดคืออาหารของเรานั้นมันมีเนื้อสัมผัส …มันมีบางอย่างที่เรียกว่า ‘flavor window’ ในช่วงวัย 4 ถึง 7 เดือนซึ่งจะเป็นช่วงที่ต่อมการรับรสของมนุษย์เริ่มพัฒนา นั่นคือช่วงที่คุณสามารถปลูกฝังพฤติกรรมเพื่อสุขภาพทั้งหลายได้”
Laurell อธิบายต่อว่า “มันเป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ที่อยากจะลิ้มรสความหวานอยู่ตลอด อีกอย่าง นมแม่นั้นก็มีรสค่อนข้างหวาน ดังนั้น สิ่งที่เรามุ่งจะทำคือการนำเสนอรสชาติและเนื้อสัมผัสที่หลากหลายมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ก่อนที่พวกเขาจะอายุ 2 ปี มีงานวิจัยเผยด้วยว่า ยิ่งลูกของคุณได้รู้จักกับรสสัมผัสที่หลากหลายมากเท่าไร พวกเขาก็จะเป็นคนกล้าลองกินมากขึ้นเท่านั้น”
Laurell ผู้เติบโตในประเทศฟินแลนด์คนนี้ อยากที่จะสร้างบริษัทที่นอกจากจะส่งผลต่อผู้คนจำนวนมากแล้ว ยังสามารถเป็นแรงผลักดันให้กับผู้หญิงและเด็กๆ ได้อีกด้วย ดังนั้น เธอจึงตัดสินใจย้ายมายังกรุงนิวยอร์กในปี 2010 และทำงานในภาคการเงินพร้อมๆ กับ ค้นหาโอกาสที่จะก้าวเข้าสู่วงการผู้ประกอบการแห่งสหรัฐอเมริกาให้ได้
และแล้วเธอก็ได้มีโอกาสนำทีมการตลาดและ PR ของทาง Ascend Foundation องค์กรไม่แสวงกำไรที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับเหตุใดผู้หญิงและกลุ่มคนชายขอบถึงมีหน้ามีตาในบอร์ดบริหารได้ยากเย็นนัก แต่อย่างไรก็ตาม เป้าหมายในการสร้างบริษัทเป็นของตัวเองของเธอก็ยังเป็นเรื่องที่เธอคิดถึงอยู่ไม่ขาด
“ด้วยการที่ Ascend เป็นองค์กรไม่แสวงกำไรนี้ มันฝึกให้ฉันต้องมีความคิดสร้างสรรค์มากๆ ในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่” Laurell กล่าว “นี่คือเหตุผลว่าทำไมองค์กรไม่แสวงกำไรถึงเป็นแพลตฟอร์มที่ดีมากเลยทีเดียว แม้คนจะไม่ได้มององค์กรเหล่านี้เช่นนั้น แต่ฉันคิดว่าพวกมันเป็นนะ เพราะคุณต้องมีหัวสร้างสรรค์และใช้ทรัพยากรที่มีให้เป็น”
Laurell และ Fore รู้จักกันมาสักพักแล้วก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มมาแชร์แนวคิดเกี่ยวกับการสร้างบริษัทให้กันและกันฟัง แม้ต่างคนต่างก็มีแนวคิดที่ต่างกันไป แต่พวกเธอเห็นพ้องกันว่าอยากจะทำให้ทุกครอบครัวมีชีวิตที่ง่ายและสุขภาพดียิ่งขึ้น
Tiny Organics พัฒนามาจากคอนเซ็ปต์กล่องทารกของฟินแลนด์ โดยเมื่อปี 1938 คุณแม่ใกล้คลอดในฟินแลนด์จะได้รับกล่องททารกจากทางรัฐบาล โครงการนี้เริ่มมาจากการเป็นนโยบายช่วยเหลือครอบครัวยากไร้ และแก้ไขปัญหาอัตราการตายทารกสูง กล่องที่เต็มไปด้วยฟลิตภัณฑ์และอาหารสำหรับเด็กเหล่านั้นจะถูกนำมาแปลงเป็นเปลได้อีกด้วย ต่อมาในปี 2018 สาวๆ ผู้ร่วมก่อตั้งเหล่านี้ก็เริ่มวางกลยุทธ์ และสามารถคว้าตำแหน่งผู้ประกอบการประจำ Human Ventures มานั่งได้เป็นเวลา 1 ปี
“เรามีไอเดียหลากหลายไอเดียเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ปกครองทั้งหลาย” Laurell กล่าว “หนึ่งในไอเดียเหล่านั้นคือการทำกล่องทารกแบบฟินแลนด์ภาค 2 แต่เราก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเราสามารถส่งผลต่อการพัฒนาการของเด็กได้มากที่สุดผ่านอาหาร”
ในปี 2019 Laurell และทีมงานของเธอเริ่มเปิดระดมทุนรอบ Seed โดยพวกเขาสามารถระดมทุนไปได้ถึง 2.5 ล้านเหรียญ โดยผู้ลงทุนก้อนใหญ่ครั้งนั้นคือ Elizabeth Street Ventures โดยมี Human Ventures, Rocana Ventures, Chingona Ventures, Bonin Ventures, Gary Vaynerchuk และ Liz Lange เข้าร่วมด้วย
“เราจัดการระดมทุนรอบ Pre-seed จากสตูดิโอสตาร์ทอัพ และหลังจากนั้นเราก็ระดมทุนรอบ Seed หลังจากที่ได้เราได้พัฒนาตัวผลิตภัณฑ์แล้ว” เธอกล่าว “การระดมทุนรอบ Pre-seed เปิดช่องทางให้เราสามารถพัฒนาและทำผลิตภัณฑ์ให้สมบูรณ์แบบได้โดยร่วมมือกับครอครัวที่ช่วยเรามาตั้งแต่เริ่ม เราเลยเริ่มจากไปหาครอบครัวเหล่านั้น 100 ครอบครัว และไปหานักชิมมาอีก 25 คนและให้พวกเขาได้ลิ้มลองอาหารหลายๆ แบบ เราจัดส่งอาหารไปที่บ้านของพวกเขาเป็นเวลาร่วมหลายเดือน [เพื่อให้แน่ใจว่ามันใช้ได้ และเด็กๆ ชอบมัน]”
ในขณะที่ Laurell ยังคงขยายบริษัทไปเรื่อยๆ และเริ่มเปลี่ยนสไตล์การเป็นผู้นำของเธอ เธอเองก็มีขั้นตอนที่จำเป็นดังนี้:
- สร้างเครือข่ายของคุณก่อนที่คุณจะต้องการมัน โดยเริ่มสร้างความสัมพันธ์กับผู้ที่อาจจะเป็นนักลงทุนในอนาคตตั้งแต่เนิ่นๆ คอนเซ็ปต์นี้สามารถนำมาใช้กับลูกทีมที่คุณอยากจะพามาร่วมงานด้วย วิธีนี้จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
- ยิ้มรับเอกลักษณ์ของตัวเอง ค้นหาว่าคุณเก่งอะไร และอะไรที่ทำให้คุณโดดเด่น ผู้คนจะมองว่าสิ่งๆ นั้นน่าสนใจและอยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับคุณ และบริษัทของคุณมากขึ้น
- ค้นหาว่าคุณจะสามารถเชื่อมโยงกับผู้บริโภคและฐานลูกค้าของตัวเองโดยตรงอย่างจริงใจได้อย่างไร ทำอย่างไรให้พวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ และพวกเขาจะเริ่มรู้สึกว่านี่เป็นอะไรที่มากกว่าเพียงแค่ผลิตภัณฑ์หรือการบริการที่คุณกำลังขาย แต่ทุกคนมีจุดประสงค์บางอย่างร่วมกัน
“มันมีแนวคิดอยู่ว่าคุณต้องทำตัวอย่างไรในฐานะผู้นำ” Laurell สรุป “ฉันนำแนวคิดของตัวเองเข้ามาใช้ในการเป็นผู้นำเสมอ ที่ Tiny แบบไม่ได้ตั้งใจด้วยนะ เรากลายเป็นทีมงานผู้หญิงล้วนมาตลอดจนถึงเมื่อกระทั่ง 5 เดือนที่แล้วนี่เอง เรานั่งขำกันตลอดว่าเราต้องมองหาผู้ชายกันบ้างแล้ว ฉันคิดว่าการเป็นผู้หญิงมีส่วนเกี่ยวข้องมากที่เดียว การเป็นผู้หญิงส่งผลต่อสไตล์การเป็นผู้นำของคุณ และทำให้คุณเข้าใจคนอื่นและเห็นใจคนอื่นด้วย ฉันคิดว่าสิ่งเหล่านั้นคือความแข็งแกร่ง”
แปลและเรียบเรียงจากบทความ How This Cofounder Built An Organic Food Company That Helps Toddlers Become Adventurous Eaters เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม: 10 “นักกีฬาหญิง” รายได้สูงสุด ประจำปี 2021
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine