ในยุคที่ผู้คนต่างให้ความยอมรับนับถือผู้ประกอบการที่มีลูกบ้าเต็มพิกัด ไม่มีใครอีกแล้วที่จะแรงยิ่งไปกว่าผู้ก่อตั้ง Salesforce ซึ่งถูกจัดให้เป็น CEO ที่สร้างสรรค์นวัตกรรมเป็นที่สุดของอเมริกามาติดตามความเคลื่อนไหวล่าสุดของ Marc Benioff และโมเดลใหม่ที่เขาจะใช้สร้างการเติบโตให้กับโลกแห่งเทคโนโลยี
ในแต่ละปี Marc Benioff ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Salesforce จะใช้เวลาหลายเดือนอาศัยอยู่ที่บ้านริมหาดบนเกาะ Hawaii เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เขาได้จัดประชุมนอกสถานที่กับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท 400 คนในห้องบอลรูมซึ่งเปิดแอร์เย็นฉ่ำติดหาดทรายขาวบนเกาะ Hawaii ซึ่งในงานนี้ เขาปรากฏตัวในชุดเสื้อฮาวายสีขาวพิมพ์ลายต้นปาล์มสีฟ้า พร้อมกับสวมหมวกเบสบอลและเริ่มพูดกับเพื่อนผู้ร่วมก่อตั้ง Salesforce เป็นภาษาเยอรมันว่า “หยา หยา หยา” (ใช่ ใช่ ใช่) พร้อมกับฉีกยิ้ม หลังจากนั้นสองเดือน ณ งานประชุม Dreamforce ซึ่งเป็นงานประชุมใหญ่ยักษ์ของ Salesforce ที่ San Francisco ซึ่งคาดว่าจะมีคนมาร่วมถึง 170,000 คน Benioff มีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เขาบอกว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทในทศวรรษใหม่ ชื่อของมันก็คือ Salesforce Einstein “ถ้านี่ยังไม่ใช่ the next big thing ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรใช่แล้วล่ะ” CEO ของบริษัทซอฟต์แวร์ธุรกิจอันดับสี่ของโลกบอก รายละเอียดของ Einstein ซึ่งเพิ่งเปิดเผยที่นี่เป็นครั้งแรก ทำให้เราเห็นภาพและเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างได้ชัดเจนขึ้น ว่าทำไมเมื่อสองปีก่อน Benioff ถึงยอมทุ่มเงินถึง 390 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อซื้อตัว Steve Loughlin ผู้บริหารเลือดใหม่วัย 35 พร้อมผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับระบบอีเมล์และปฏิทินของเขา หรือทำไม Salesforce กว้านซื้อกิจการสตาร์ทอัพที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence หรือ AI) กว่าครึ่งโหลเข้ามาอยู่ในบริษัท หรือจะเป็นการที่มอบหมายให้ Richard Socher แห่ง MetaMind ซึ่งเป็นนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ของ Stanford สร้างห้องวิจัยทดลองให้กับบริษัท หรือทำไม Benioff ยังคงรู้สึกตื่นเต้นกับผลิตภัณฑ์ของเขาเองอย่างกับเด็กเล็กๆ ที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่ทั้งๆ ที่บริหาร Salesforce มาแล้วถึง 17 ปี ทุกๆ ปี หรือสองปี Benioff จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าตื่นเต้นในงาน Dreamforce แต่ Einstein จะเป็นอะไรที่ฉีกออกไปจากเดิมเพราะมันจะเป็นการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใส่ไว้ในผลิตภัณฑ์เกือบทุกตัวของ Salesforce ซึ่งจะทำให้มีการบรรจุคำแนะนำที่ผ่านการประมวลผลความน่าจะเป็น และข้อมูลเชิงลึกไว้ในงานบริการ งานขาย และการตลาด รวมถึงการหลอมรวมบริการต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันด้วย ดังนั้น Benioff จึงบอกกับผู้บริหารของเขาว่า Einstein ไม่ได้เป็นแค่อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ “คลาวด์” ให้พวกเขานำไปขาย แต่มันจะเป็นเหมือนระบบเส้นประสาทใหม่ของธุรกิจทั้งโลกเลยทีเดียว “เราจะทำให้คู่แข่งเราตะลึงงันไปเลย” Salesforce ไม่ได้เป็นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเจ้าแรกที่ทุ่มทุนสร้างกับเทคโนโลยี AI ทางด้านของ Sundar Pichai CEO ของ Google ก็ได้วางตำแหน่งบริษัทของเขาไว้บนโลกที่จะมี AI เป็นอุปกรณ์สำคัญที่สุดที่ทุกคนต้องใช้ (AI-first world) ด้วย ในขณะที่ Microsoft ก็พยายามที่จะรวม AI เข้ากับข้อมูลทางธุรกิจมาเกือบ 20 ปีแล้ว คุณอาจจะไม่เชื่อว่า Benioff จะสามารถทำได้อย่างที่โม้ไว้ด้านบน แต่บอกไว้ก่อนว่านับตั้งแต่ Forbes เริ่มจัดอันดับบริษัทที่มีนวัตกรรมสูงที่สุดในอเมริกาในปี 2011 เป็นต้นมา Salesforce ติดอันดับหนึ่งหรือไม่ก็สองต่อเนื่องมาทุกปีจนถึงปัจจุบัน โดยSalesforce คือกิจการแรกๆ ที่บุกเบิกการเปลี่ยนรูปแบบของซอฟต์แวร์ให้อยู่ในรูปของบริการ ซึ่งเป็นการปิดฉากยุคของการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ และการใช้ CD-ROM ต่อจากนั้น Benioff ก็ทำให้ธุรกิจของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้นจากความสำเร็จของการลงทุนในด้านโซเชียลมีเดีย การตลาด และมือถือ ด้วยการทำให้บริษัทของเขากลายเป็นเจ้าตลาดในผลิตภัณฑ์ถึง 9 ประเภทด้วยกัน ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัททั้ง interface และแอพพลิเคชั่นนับพัน สามารถสัมผัสกับผู้ใช้งานในสายงานธุรกิจนับล้านคนทั่วโลกซึ่งทำรายได้ให้กับบริษัทถึงปีละ 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ การเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งของ Salesforce บวกกับความเป็นยอดนักขายของ Benioff ทำให้หุ้น Salesforce เป็นหนึ่งในขวัญใจนักลงทุนใน Wall Street มาอย่างยาวนาน ด้วยมูลค่าตลาดที่สูงถึง 5.4 หมื่นล้านเหรียญ ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (net margin) ต่ำเพียงแค่ 0-2% เท่านั้น Benioff รู้ดีว่า Salesforce มักจะแข่งกับคู่แข่งที่ใหญ่กว่าตัวเองเสมออย่างเช่น IBM หรือ Oracle ซึ่งเมื่อเทียบแล้ว Salesforce มีขนาดแค่หนึ่งในสามเท่านั้น หรือหากเทียบกับยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft หรือ Google แล้ว Salesforce ก็ยิ่งดูจิ๋วลงไปอีก แต่ถึงขนาดจะเล็กแต่เมื่อดูเจาะไปที่ธุรกิจซอฟต์แวร์ด้านงานขายซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของ Salesforce ก็ปรากฏว่าบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 45% ซึ่งมากกว่าคู่แข่งอันดับสองอย่าง Microsoft ถึงเกือบสี่เท่า และก็ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย แต่ในโลกนี้ก็มีจำนวนนักขายที่จะมาใช้บริการ Salesforce อยู่แค่จำนวนหนึ่งเท่านั้นซึ่งนั่นหมายความว่า Benioff ต้องเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมต่อไป พร้อมๆ กับขยายจำนวนผู้ใช้ให้มากขึ้นกว่าเดิมด้วย เพราะในอีกห้าปีข้างหน้า คงยากที่ Salesforce จะทำยอดขายให้โตได้ถึงสี่เท่าตัวเหมือนกับช่วงห้าปีที่ผ่านมา Benioff บอกว่า “มันเหมือนเรากำลังเปลี่ยนเครื่องยนต์ของเครื่องบิน 747 ขณะที่กำลังบินอยู่กลางอากาศยังไงยังงั้น” และหากใครสงสัยว่า Benioff จะสามารถพาเครื่องบินกลับลงสู่พื้นได้อย่างปลอดภัยตามคำเปรียบเปรยของเขาหรือไม่ ก็ลองมองไปที่เส้นขอบฟ้าของเมือง San Francisco แล้วจะพบกับตึกสำนักงานใหญ่หลังใหม่ของ Salesforce ที่จะสูงถึง 1,000 ฟุต และสร้างมาได้ครึ่งทางแล้ว หากสร้างเสร็จตึกนี้จะเป็นตึกที่สูงที่สุดทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ Mississippi เมื่อ Salesforce เข้าตลาดหุ้นในปี 2004 เป็นช่วงที่ Benioff กำลังอินกับแนวคิดเรื่องการสร้างแบรนด์ (คำขวัญแรกของบริษัทคือ “No software” ซึ่งเป็นการสร้างความแตกต่างจาก Siebel และคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาด แม้ว่ามันจะไม่จริงเสียทีเดียว) ซึ่งเขาก็ยังคลั่งไคล้กับเรื่องแบรนด์อยู่จนถึงทุกวันนี้ เมื่อสองปีก่อน Benioff ได้จ้าง Shinichi Koide ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารของ Softbank, HP และ IBM ในญี่ปุ่นให้ช่วยขยายธุรกิจของ Salesforce ในญี่ปุ่น และเพิ่มจำนวนพนักงานเป็น 2,000 คน แต่เขาอยากให้ Koide บริหารแบบมีอำนาจเต็มเหมือนกับเขาและมีโครงสร้างองค์กรที่ราบขึ้น “ผมทำได้แค่ให้คำแนะนำเท่านั้น ไม่งั้นก็ไม่เวิร์ค” Salesforce ในขณะนี้ยังเป็นอันดับสี่ในตลาดซอฟต์แวร์ที่ญี่ปุ่น โดยคาดว่ารายได้จะอยู่ที่ 400 ล้านเหรียญ การที่ Salesforce จะโตให้ได้สี่เท่าตามแผน บริษัทต้องสร้างการเติบโตในตลาดอย่างญี่ปุ่นให้ได้ถึงจะแซงหน้าคู่แข่งอย่าง Oracle, SAP และ Microsoft ได้สำเร็จ ซึ่ง Benioff คาดว่าจะเห็นแผนที่จะทำให้ Salesforce โตได้ตามนั้น เมื่อเขากลับจากญี่ปุ่นเป้าหมายที่ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งในเป้าหมายที่มีมากมายและเป้าหมายใหม่ก็มักจะใหญ่และท้าทายขึ้นเรื่อยๆ เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของ Benioff เท่าที่ผ่านมาคือแผนการซื้อกิจการ LinkedIn ซึ่งพ่ายให้แก่ Microsoft ที่เฉือนไปด้วยราคา 2.62 หมื่นล้านเหรียญ แต่ลูกค้าของเขาไม่ได้ผิดหวังไปกับ Benioff ด้วย เมื่อพลาดจาก LinkedIn ไปแล้ว จึงเกิดดีลการซื้อกิจการ Demandware และ Quip ขึ้นแทน ซึ่งถือเป็นดีลใหญ่ที่บริษัทยังต้องออกแรงอีกเยอะ เพราะในช่วงสามปีที่ผ่านมา Salesforce ยังไม่สามารถทำอะไรได้มากนักกับ Exact Target ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำการตลาดผ่านอีเมล์ที่ Salesforce ซื้อกิจการมาด้วยราคา 2.5 พันล้านเหรียญ และเพิ่งผ่านไปแค่ไม่ถึงปีเท่านั้นตั้งแต่บริษัทประกาศแผนเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ที่ใช้ชื่อว่า Lightning ซึ่งจะปรับระบบ interface กับผู้ใช้ใหม่หมด และยังมีลูกค้าอีกมากที่ยังไม่ได้เปลี่ยนมาใช้แพลตฟอร์มใหม่ตัวนี้ ถึงแม้ว่า Salesforce จะยังคงเป็นผู้นำในธุรกิจการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า แต่ Satya Nadellaแห่ง Microsoft ซึ่งเป็นทั้งมิตรและศัตรูทางธุรกิจก็ตั้งเป้าที่จะขับเคลื่อนซอฟต์แวร์สำหรับการปรับโครงสร้างกิจการซึ่งอีกไม่นานจะเชื่อมต่อกับข้อมูลของ LinkedIn ทั้งนี้ Benioff จะโต้กลับด้วย Einstein ซึ่งเขามีแผนจะเปิดตัวต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการในงาน Dreamforce มีอีกหนึ่งโครงการที่เขาฟูมฟักมาและจะนำมาโปรโมทในงาน Dreamforce ก็คือ Trailhead ซึ่งจะให้บริการแนะนำและสอนให้ลูกค้าสร้างแอพฯ ธุรกิจของตัวเองโดยอยู่บนฐานของ Salesforce ในงานเปิดตัว Trailhead เมื่อเดือนมิถุนายนที่ San Francisco ผลตอบรับถือว่าน่าพอใจคลิ๊กอ่านฉบับเต็ม "Beinoff ผู้ไม่เคยหยุดนิ่ง" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ NOVEMBER 2016 ในรูปแบบ e-Magazine