Sam Bankman-Fried ราชาแห่งคริปโตเคอร์เรนซี - Forbes Thailand

Sam Bankman-Fried ราชาแห่งคริปโตเคอร์เรนซี

FORBES THAILAND / ADMIN
23 Apr 2022 | 10:26 AM
READ 4361

Sam Bankman-Fried ผู้ร่วมก่อตั้ง FTX อาศัยโอกาสทำกำไรในยุคทองของคริปโตเคอร์เรนซี สะสมทรัพย์สินรวมมูลค่า 2.25 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้ตั้งแต่อายุยังไม่เข้าวัย 30 ปี ทั้งที่ไม่ได้เชื่อมั่นในคริปโตเคอร์เรนซีแม้แต่น้อย เวลานี้เขาก็แค่ต้องการรักษาความมั่งคั่งให้ยืนยาวที่สุด และในที่สุดแล้วเขาจะมอบสินทรัพย์ทั้งหมดให้แก่ผู้อื่น

ปลายฤดูร้อนในช่วงค่ำวันท้องฟ้าขมุกขมัววันหนึ่ง Sam Bankman-Fried ก้าวเข้า Electric Lemon ร้านอาหารที่สะอาดและใส่ใจบนชั้น 24 ของ Equinox Hotel โรงแรม 5 ดาวในอาณาจักร Hudson Yards ใน Manhattan อย่างสะเปะสะปะ เศรษฐีพันล้านคริปโตเคอร์เรนซีวัย 29 ปีเพิ่งเดินทางมาจากฮ่องกง ส่วนหนึ่งก็เพื่อเป็นเจ้าภาพร่วมจัดงานเลี้ยงส่วนตัว แต่เขาก็ยังพยายามแอบหลบในมุมห้องไม่ให้ใครเห็น

แม้ว่าเขาจะแต่งตัวตามแบบฉบับของตนเองด้วยการสวมเสื้อฮู้ดสีดำ กางเกงขาสั้นสีเทา รองเท้า New Balance โทรมๆ ซึ่งอาจจะช่วยให้เขาพรางตัวบนท้องถนนด้านล่างได้ แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางเสื้อติดกระดุมข้อมือและค็อกเทลเดรส เขากลับโดดเด่นยิ่งกว่า Obi Toppin ผู้เล่นตำแหน่ง power forward เจ้าของส่วนสูง 6 ฟุต 9 นิ้ว ของทีม New York Knicks ที่กลมกลืนอยู่กับฝูงชนนั่นเสียอีก

ไม่นานนัก Bankman-Fried ก็ตกเป็นเป้าหมายความสนใจ: ขอนำเสนออะไรสักหน่อยได้ไหม? คุณคิดอย่างไรกับราคาคริปโตที่ล่าสุดร่วงอย่างรุนแรง? ขอถ่ายรูปลง Instagram ด้วยได้ไหม? ไม่แปลกอะไรสำหรับหนุ่มสาวที่เข้ามาอยู่ในกลุ่มคนรวยที่สุดในโลก ตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเลข 2

FTX เป็นตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีที่ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น บิตคอยน์ และ Ethereum เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาพวกเขาระดมทุนได้ 900 ล้านเหรียญจากบรรดานักลงทุน ไม่ว่าจะเป็น Coinbase Ventures และ SoftBank จากการประเมินมูลค่าที่ 1.8 หมื่นล้านเหรียญ และทำหน้าที่ดูแลตราสารอนุพันธ์ (ส่วนใหญ่เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและออปชัน) ราวร้อยละ 10 ของตราสารอนุพันธ์ทั้งหมดซึ่งมูลค่าที่ตราไว้รวมกัน 3.4 ล้านล้านเหรียญที่นักลงทุนคริปโตซื้อขายกันในแต่ละเดือน

เฉลี่ยแล้ว FTX จะได้รับส่วนแบ่งร้อยละ 0.02 จากทุกๆ รายการซื้อขาย จนสามารถสร้างรายได้ 750 ล้านเหรียญ คิดเป็นผลกำไร 350 ล้านเหรียญตลอดระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา โดยแทบไม่ต้องเผชิญความเสี่ยง นอกจากนี้ Alameda Research ธุรกิจเทรดดิ้งของเขายังทำกำไรได้อีก 1 พันล้านเหรียญเมื่อปี 2020 จากการเทรด

ในจังหวะดีๆ ด้วยตนเอง ล่าสุดเขาหันมาออกโทรทัศน์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับราคาบิตคอยน์ กฎระเบียบ และอนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัล

มันเป็นช่วงเวลาที่แปลกและน่าอึดอัดมาก ครึ่งหนึ่งของโลกใบนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

ได้มา เพื่อให้ไป

เมื่อ 4 ปีก่อน Bankman-Fried ยังไม่เคยซื้อบิตคอยน์เลยสักเหรียญ แต่ในเวลานี้ (5 เดือนก่อนถึงวันเกิดปีที่ 30) เขาติดโผ Forbes 400 เป็นครั้งแรก โดยรั้งอันดับ 32 ในการจัดอันดับประจำปี 2021 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 2.25 หมื่นล้านเหรียญ

หากไม่นับ Mark Zuckerberg แล้วต้องบอกว่า ไม่เคยมีใครในประวัติศาสตร์ที่ร่ำรวยได้มากขนาดนี้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ ที่น่าแปลกคือ Bankman-Fried ไม่ใช่คนที่ศรัทธาในคริปโตและแทบจะไม่เชื่อเรื่องนี้ด้วยซ้ำเขาแค่หลงใหลการทำเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และไม่สนด้วยว่าจะได้เงินมาด้วยวิธีใด โดยมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือ เขาต้องการมอบเงินนั้น แม้ตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าจะให้ใครและเมื่อใด

ในขณะที่ Steve Jobs หมกมุ่นอยู่กับการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความเรียบหรู และ Elon Musk ประกาศว่า เขาทำธุรกิจเพื่อมวลมนุษยชาติ แต่ไม่ใช่ Bankman-Fried ผู้ที่ยึดมั่นในปรัชญาได้มาเพื่อให้ไป เขาร่วมขุดทองในโลกคริปโตเริ่มแรกในฐานะเทรดเดอร์ จากนั้นจึงสร้างศูนย์กลางซื้อขายแลกเปลี่ยนขึ้นมาเพียงเพราะรู้ว่า เขาจะต้องรวยจากสิ่งนี้ได้แน่ๆ เมื่อถามว่า เขาจะยอมทิ้งคริปโตหรือไม่สมมติว่าธุรกิจอื่นทำเงินได้มากกว่า เช่น การซื้อขายฟิวเจอร์สน้ำส้ม Bankman-Fried ตอบโดยไม่ต้องหยุดคิดทิ้งสิครับ

แต่ในเวลานี้หลักการเห็นแก่ส่วนรวมอย่างมีประสิทธิภาพ (แนวคิดแห่งการทำความดีให้เกิดประโยชน์มากที่สุด) ของ Bankman-Fried เกือบทั้งหมดยังคงเป็นเพียงทฤษฎี เพราะจนถึงตอนนี้เขามอบเงินบริจาคไปเพียง 25 ล้านเหรียญ หรือราวร้อยละ 0.1 ของทรัพย์สินเท่านั้น ทำให้เขาเกาะกลุ่มสมาชิก Forbes 400 ที่มีคะแนนการกุศลน้อยที่สุด อย่างไรก็ตามเขาหวังว่าในที่สุดจะสามารถเพิ่มมูลค่าเงินทำบุญได้ไม่น้อยกว่า 900 เท่า โดยจะเกาะกระแสคริปโตต่อไป และยังไม่ขายออกมาเป็นเงินในเวลานี้

ผมมีเป้าหมายที่จะสร้างแรงกระเพื่อม Bankman-Fried ซึ่งย้ายมาฮ่องกงเมื่อปี 2018 ก่อนจะย้ายมา Bahamas เมื่อเดือนที่ผ่านมากล่าว แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นเขาจะต้องฝ่าการจับตามองที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาล และเอาชนะคู่แข่งที่ยกกันมาเป็นกองทัพเพื่อแย่งชิงพื้นที่ธุรกิจที่มีเทรดเดอร์กว่า 220 ล้านคนทั่วโลก พวกเขาจะต้องเผชิญวัฏจักรคริปโตที่มีทั้งขาขึ้นและขาลง ซึ่งอาจจะสร้างความมั่งคั่งด้วยความเร็วเป็นประวัติการณ์ แต่ก็ทำลายทุกอย่างลงราบคาบได้ในชั่วพริบตา

เขาคือปรากฏการณ์ Kevin O’Leary ดาวเด่นแห่งรายการ Shark Tank ทางช่อง ABC กล่าว เมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งลงทุนใน FTX และยังรับหน้าที่สื่อสารองค์กรอีกด้วยเขาประสบความสำเร็จมากมายจนถึงตอนนี้ และได้รับการยกย่องจากนักลงทุนจำนวนมากรวมทั้งผมด้วย แต่งานของเขาเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

Sam Bankman-Fried เป็นลูกชายของสองอาจารย์จาก Stanford เขาใช้ชีวิตวัยเด็กอ่านหนังสือ Harry Potter เชียร์ทีม San Francisco Giants และฟังพ่อแม่สนทนาเรื่องการเมืองกับบรรดานักวิชาการจาก West Coast หลังจบชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนเอกชนเล็กๆ ที่ Bay Area ซึ่งถ้าผมอินดี้มากกว่านี้และชอบวิทยาศาสตร์น้อยกว่านี้คงจะดีมากเขาศึกษาต่อที่ MIT ด้วยความพยายามเพียงครึ่งๆ กลางๆจนคว้าปริญญาด้านฟิสิกส์มาครองได้ในที่สุด เขาทุ่มเทเวลาให้กับวิดีโอเกม Starcraft และ League of Legends มากกว่าเรียนหนังสือเสียอีก

ในตอนนั้นเขาคิดว่าตนเองคงจะกลายมาเป็นอาจารย์สอนฟิสิกส์ แต่โดยพื้นฐานแล้วเขาสนใจเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมมากกว่าในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ไก่ตัวหนึ่งต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานเป็นเวลา 5 สัปดาห์เพื่อให้คุณกินหมดภายในครึ่งชั่วโมง ผมมองอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผล Bankman-Fried กล่าว แน่นอนว่าเขาเป็นมังสวิรัติ

Bankman-Fried ศึกษาแนวคิดเรื่องประโยชน์นิยมอย่างจริงจังและพบว่า รู้สึกประทับใจหลักการเห็นแก่ส่วนรวมอย่างมีประสิทธิภาพ” (effective altruism) อันเป็นหลักการที่ Silicon Valley พลิกแพลงจากแนวคิดเรื่องการทำบุญทำกุศลและได้รับการสนับสนุนจาก Peter Singer นักปรัชญาจาก Princeton รวมทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบของหลายๆ คน รวมถึง Dustin Moskovitz ผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook

หลักการดังกล่าวมีแนวคิดพื้นฐาน คือ การทำความดีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้โดยตั้งอยู่บนหลักฐานและเหตุผล กล่าวคือโดยทั่วไปแล้วคนเรามักจะทำบุญตามกระแสหรือในเรื่องที่ตนเองได้รับผลกระทบ แต่หลัก effective altruism เป็นการศึกษาข้อมูลเพื่อเลือกว่าจะให้ความช่วยเหลือในเรื่องใด เวลาใด โดยมีเป้าหมายที่อยู่นอกเหนือเป้าหมายส่วนตัว เช่น ในทุกบาททุกสตางค์ที่บริจาคไปจะต้องช่วยชีวิตคน หรือสร้างรายได้ให้ได้มากที่สุด แน่นอนว่าหนึ่งในตัวแปรที่สำคัญที่สุดคือ เงิน Bankman-Fried จึงล้มแผนที่จะเป็นอาจารย์และลงมือสะสมความมั่งคั่งจนติดอันดับโลก

หลังจบการศึกษาจาก MIT เมื่อปี 2014 เขาทำงานด้านการเงินพร้อมรับเงินเดือน 6 หลักด้วยการเทรด ETF ให้กับบริษัทที่ใช้กลยุทธ์การวิเคราะห์เชิงปริมาณอย่าง Jane Street Capital และแบ่งเงินเดือนให้กับการกุศล

สมัยที่คริปโตยังล้มลุกคลุกคลานในช่วงแรกๆ Bankman-Fried ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรมากนัก ตอนนั้น FBI สั่งปิดตลาดนัดออนไลน์ผิดกฎหมายแห่งหนึ่งเมื่อปี 2013 เนื่องจากมีการค้าของเถื่อนทุกรูปแบบเพื่อแลกเปลี่ยนกับบิตคอยน์ รวมถึง Mt. Gox ตลาดคริปโตสำคัญของโลกก็พังทลายลงในปี 2014 หลังจากเสียบิตคอยน์ไป 850,000 เหรียญ คิดเป็นมูลค่า 460 ล้านเหรียญในเวลานั้น

แต่เมื่อปี 2017 กำลังจะสิ้นสุดลงบิตคอยน์ก็ได้สัมผัสกับสถานะกระทิงเป็นครั้งแรกด้วยมูลค่าก้าวกระโดดจาก 2,500 เหรียญต่อ 1 บิตคอยน์ มาเป็น 20,000 เหรียญในเวลาเพียง 6 เดือน Bankman-Fried จับตามองโอกาสนี้และสังเกตเห็นว่าตลาดใหม่แห่งนี้ยังขาดประสิทธิภาพ เขาสามารถซื้อบิตคอยน์ในสหรัฐฯ และขายเพื่อทำกำไรได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ในญี่ปุ่น

ผมเข้ามาจับคริปโตโดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคริปโตคืออะไร แต่ดูเหมือนว่าจะมีโอกาสให้ซื้อขายดีๆ มากมาย

นักคว้าโอกาส

ปลายปี 2017 เขาลาออกจากงานและนำทุน 1 ล้านเหรียญจากเงินเก็บและเงินของเพื่อนฝูงและครอบครัวมาก่อตั้ง Alameda Research บริษัทเทรดดิ้งที่อาศัยกลยุทธ์การวิเคราะห์เชิงปริมาณ เขาเปิดร้านจากห้องเช่าของ Airbnb ที่ Berkeley ใน California มีพนักงานเป็นบัณฑิตใหม่กลุ่มหนึ่ง พวกเขาพยายามอย่างหนักในการซื้อขายรูปแบบ arbitrage บางครั้งพนักงานทั้งหมดต้องวางมือจากงานเพื่อเข้าเว็บไซต์แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเนื่องจากไม่สามารถแปลงสกุลเงินเยนเป็นเหรียญสหรัฐฯ ได้รวดเร็วมากพอ

ครั้งหนึ่งเมื่อเดือนมกราคม ปี 2018 เป็นช่วงที่มีการซื้อขายคึกคักมากที่สุด เขาต้องโยกย้ายบิตคอยน์มูลค่าสูงถึง 25 ล้านเหรียญทุกวัน

ไม่นานนักเขาเริ่มไม่พอใจคุณภาพของตลาดคริปโตรายใหญ่ ซึ่งแม้ว่าจะมีความพร้อมในการอำนวยความสะดวกสำหรับการซื้อขายบิตคอยน์ให้กับผู้ลงทุนรายย่อย แต่ยังคงขาดเครื่องมือรองรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนของเทรดเดอร์มืออาชีพ ซึ่งมีการเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ในปริมาณมากและความเร็วสูง Bankman-Fried รู้สึกได้ว่าเวลาของเขามาถึงแล้ว เขาจึงสร้างตลาดคริปโตเคอร์เรนซีขึ้นมาเป็นของตนเอง

ในปี 2019 เขานำกำไรจาก Alameda พร้อมเงินอีก 8 ล้านเหรียญที่ได้จากบริษัทร่วมลงทุนรายเล็กอีก 2-3 แห่งมาใช้ในการก่อตั้ง FTX ไม่นานนักเขาก็แบ่งขายหุ้นให้กับ Binance ตลาดคริปโตที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดในโลกไปส่วนหนึ่งในราคา 70 ล้านเหรียญ

การเติบโตในช่วงแรกเป็นไปอย่างช้าๆ พนักงานกลุ่มเล็กๆ อาศัยโต๊ะทำงานแบบยืน WeWork ในฮ่องกง พวกเขาทำงานกันอย่างหนักเพื่อพยายามชี้ชวนบรรดานักลงทุนเข้าสู่ตลาดใหม่แห่งนี้ ไม่นานนัก Bankman-Fried ก็พบช่องทางให้บริการแก่นักลงทุนหัวก้าวหน้าที่ต้องการซื้อขายอนุพันธ์ เช่น ออปชัน

ศัตรูในคราบเพื่อน: กำไรของ Bankman-Fried จำนวนมากตกไปอยู่ในมือของคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งช่วงปลายปี 2019 Binance ตลาดซื้อขายคริปโตซึ่งบริหารโดย Changpeng Zhao (CZ) เศรษฐีพันล้านเข้าลงทุนใน FTX 70 ล้านเหรียญ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Bankman-Fried ซื้อหุ้นทั้งหมดในส่วนของ Binance กลับคืนมาในราคา 2.3 พันล้านเหรียญ แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสองคน "ยั
เป็นเพื่อนกัน" ตามที่ CZ บอกกับ Forbes ในเวลานั้น

บิตคอยน์หรือสัญญาซื้อขาย Ethereum ล่วงหน้า นักลงทุนอนุพันธ์จำนวนมากแทบจะไม่มีความเชื่อมั่นในคริปโตอะไรเลย พวกเขาก็เหมือนกับ Bankman-Fried คือ ต้องการแค่เงิน

ผลคือ พวกเขาต้องการลงทุนกันเพิ่มขึ้นอีกมากมายในมูลค่าที่สูงกว่านักลงทุนรายย่อยทั่วไป กลายเป็นค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นสำหรับ FTX ในการทำธุรกรรมแต่ละรายการ FTX จะหักส่วนแบ่งร้อยละ 0.005-0.07 นอกจากนี้ FTX ยังเป็นตลาดเพียงไม่กี่แห่งที่นักลงทุนสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนหุ้นทั่วไปในรูปแบบโทเคนได้ เช่น เหรียญคริปโตแทนหุ้น Apple 1 หุ้น นอกจากนี้ ธุรกิจดังกล่าวยังแทบไม่มีค่าใช้จ่าย อัตรากำไรจึงสูงถึงราวร้อยละ 50

กระนั้นก็ดี Bankman-Fried ไม่ได้มีใบอนุญาตโดยถูกต้องในการดำเนินกิจการตลาดอนุพันธ์ในสหรัฐฯ ซึ่งมีกฎระเบียบควบคุมเข้มงวดเขาจึงวางฐานธุรกิจไว้ที่ฮ่องกง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาเพิ่งเข้าร่วมงานสัมมนาเกี่ยวกับบิตคอยน์ที่มาเก๊าซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน

ในช่วงแรกธุรกิจของเขาได้ประโยชน์จากการเอาชนะใจลูกค้าในเอเชีย ซึ่งมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตกันอย่างคึกคัก แต่กระแสคนที่หลงรักการย้ายสถานที่ทำงานไปเรื่อย ทำให้น้อยคนนักที่อยากจะลงหลักในงานประจำ เมื่อใกล้ถึงเดือนกันยายนเขาประกาศผ่านช่องทางยอดนิยมอย่าง Twitter ว่า มีแผนย้ายสำนักงานใหญ่ที่มีพนักงาน 150 คนไปยัง Bahamas เพราะมีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับคริปโตที่ชัดเจนกว่า ขณะที่ข้อจำกัดในการเดินทางช่วงโควิด-19 ก็ผ่อนคลายมากกว่า (เขายังคงมีตลาดซื้อขายขนาดเล็กกว่าอยู่ในสหรัฐฯ ที่ Chicago)

ยังรวยไม่พอ

หลังจากเปิดให้บริการแก่นักลงทุนระดับเชี่ยวชาญมาได้เพียง 2 ปี FTX ก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยมูลค่าการซื้อขายอนุพันธ์เฉลี่ยวันละ 1.15 หมื่นล้านเหรียญ ทำให้ FTX กลายเป็นตลาดอนุพันธ์ขนาดใหญ่ เป็นอันดับ 4 ตามหลังเพียง Bybit (1.25 หมื่นล้านเหรียญ) OKEx (1.55 หมื่นล้านเหรียญ) และผู้นำอุตสาหกรรมคือ Binance (6.15 หมื่นล้าน) เมื่อ 1 ปีก่อน FTX ยังมีมูลค่าซื้อขายเพียงวันละ 1 พันล้านเหรียญจากผู้ใช้บริการ 200,000 คน เมื่อฐานลูกค้าของ Bankman-Fried เพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านคน เขาก็เร่งขยายเครื่องเซิร์ฟเวอร์และยกระดับงานให้บริการลูกค้าและดูแลการปฏิบัติตามกฎหมาย

ด้วยนิสัยของเขา Bankman-Fried จะสามารถเร่งระยะเวลาของการพัฒนาได้อย่างไม่น่าเชื่อ Anatoly Yakovenko ผู้ก่อตั้ง Solana คริปโตเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าตามราคาตลาด 4.3 หมื่นล้านเหรียญกล่าว

ความคล่องแคล่วว่องไวและการลงมือทำอย่างรวดเร็วทำให้ Bankman-Fried ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก ข้อมูลจาก PitchBook ระบุว่า เมื่อเดือนมกราคม ปี 2020 บริษัทร่วมลงทุนที่เน้น

ธุรกิจคริปโต ไม่ว่าจะเป็น Pantera Capital และ Exnetwork Capital อัดฉีดทุนจำนวน 40 ล้านเหรียญให้กับธุรกิจของเขา ซึ่งได้รับการประเมินมูลค่าที่ 1.2 พันล้านเหรียญ และไม่ทันพ้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี้เอง ดูเหมือนว่าผู้ร่วมลงทุนรายใหญ่จากทุกแห่งทั่วโลกต่างก็อยากเข้ามามีส่วนลงทุนร่วมกับ FTX โดยในรอบการลงทุนดังกล่าว Bankman-Fried ระดมทุนได้มหาศาลถึง900 ล้านเหรียญ ส่งผลให้มูลค่าของ FTX เพิ่มขึ้นเป็น 1.8 หมื่นล้านเหรียญ

ปัจจุบัน FTX มีมูลค่าแซงหน้า Carlyle Group หรือ Nippon Steel ไปแล้วทั้งที่เพิ่งก่อตั้งมาได้เพียง 29 เดือน

ความสำเร็จที่ได้มาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ มีเพียงสิ่งเดียวที่เผยให้เห็นอายุที่แท้จริงของ Bankman-Fried นั่นคือ ในบรรดา 50 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐฯ เขาขาดแคลนเงินสดอย่างรุนแรง หากไม่นับบัญชีธนาคารในสวิตเซอร์แลนด์หรือบัญชีหุ้นหรือหุ้นกู้ทั้งหลายแล้วนั้นเรียกได้ว่า ความมั่งคั่งทั้งหมดของเขามาจากการเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่งใน FTX และโทเคน FTT ของ FTX ที่มีการเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปอีกมูลค่ากว่า 1.1 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งสามารถนำมาใช้ชำระเงินหรือใช้เป็นส่วนลดในการซื้อขายในตลาด FTX ได้ในลักษณะเดียวกับบัตรของขวัญหรือเครดิตนอกจากนี้ เขายังมีคริปโตเคอร์เรนซีที่ให้การสนับสนุนอยู่คิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ

จึงไม่น่าประหลาดใจเท่าไรนักที่จนถึงเวลานี้เขายังคงหาเงินมากกว่าให้เงิน ตลอดชีวิตเขาบริจาคเงินรวมทั้งสิ้น 25 ล้านเหรียญ โดยให้ความสำคัญกับเรื่องไม่กี่เรื่อง เช่น การขึ้นทะเบียนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง การบรรเทาความยากจนทั่วโลก และความปลอดภัยของปัญญาประดิษฐ์ คร่าวๆ แล้วเทียบได้กับชาวอเมริกันวัย 29 ปีทั่วไปที่บริจาค 15 เหรียญให้กับหน่วยงานการกุศล

ยังมีอะไรต้องทำอีกมาก Bankman-Fried ยอมรับ เขาบอกด้วยว่า การบริจาคเงินก้อนใหญ่ไม่ใช่เป้าหมายระยะสั้น แต่เป็นเป้าหมายระยะยาว

ปัจจุบัน Bankman-Fried ยังไม่ได้แบ่งผลกำไรไว้สำหรับทำบุญ แต่ FTX กับพนักงานของบริษัทกันเงินไว้ทำบุญได้ 13 ล้านเหรียญ แล้วจนถึงตอนนี้ ซึ่งรวมถึงคำสัญญาของ FTX ว่า จะแบ่งเงินร้อยละ 1 ของค่าธรรมเนียมสุทธิไว้สำหรับการกุศลด้วย

อย่างไรก็ตามเขากลับนำเงินเข้าไปลงทุนในกิจการเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหุ้นร้อยละ 15 ของ Binance ที่ถืออยู่ใน FTX กลับคืนมาในราคา 2.3 พันล้านเหรียญเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เท่ากับเป็นการเพิ่มเงินเดิมพันด้วยความเชื่อว่า หากสามารถสร้างความมั่งคั่งให้เติบโตได้ก็จะสามารถทำบุญได้มากยิ่งกว่าเดิมในวันข้างหน้า

แนวคิดเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนในรูปแบบทำเงินวันนี้ ทำบุญวันหน้า กลายเป็นเครื่องมือทรมานเศรษฐีพันล้านมายาวนาน Warren Buffett เคยถึงขั้นถกเถียงกับ Susan ภรรยาผู้ล่วงลับว่าควรจะเลือกกลยุทธ์ความมหัศจรรย์แห่งการต่อยอดผลกำไรจากการลงทุนเพื่อขยายความมั่งคั่งยิ่งๆ ขึ้นไป หรือทยอยบริจาคทรัพย์สินขณะที่ยังคงมีชีวิตอยู่ ท้ายที่สุดแล้วเงินทั้งหมดก็จะต้องมารวมกันอยู่ตรงนั้น เช่นเดียวกับปัญหามากมายบนโลกใบนี้ และในที่สุด Susan ก็เป็นฝ่ายชนะ ในปี 2006 Buffett ประกาศว่า เขาจะเริ่มบริจาคทรัพย์สินเกือบทั้งหมดเพื่อการนำไปใช้อย่างถูกวิธี

ผมมองว่ามีเหตุผลไม่มากเลยที่จะต้องชะลอการบริจาค เพราะการสนับสนุนในเรื่องที่ควรค่าแก่การสนับสนุนจะให้อะไรต่างๆ ได้มากมาย Chuck Feeney ผู้ร่วมก่อตั้ง Duty Free Shoppers วัย 90 ปีกล่าวเมื่อปี 2019 ตัวเขาเองบริจาคสินทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 8 พันล้านเหรียญ

อีกประเด็นหนึ่งที่น่ากังวลคือ ความพยายามสร้างรายได้จากคริปโตจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อพันธสัญญาของ Bankman-Fried ที่จะทำความดีหรือไม่? เนื่องจากในการขุดเหรียญคริปโตเพียง 1 ปี จะต้องใช้กระบวนการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ต่างๆ ที่สร้างขึ้นเองเพื่อสร้างเหรียญขึ้นมาใหม่ ซึ่งต้องใช้พลังงานมหาศาลในระดับที่จะขับเคลื่อนเบลเยียมได้ทั้งประเทศ

ประเด็นปัญหาพวกนี้มีอยู่จริง แต่บางครั้งก็พูดกันเกินจริงไปหน่อย ลองดูปริมาณคาร์บอนที่ผลิตขึ้นต่อ 1 เหรียญในกิจกรรมทางเศรษฐกิจสักอย่างจะเห็นได้ว่า คริปโตไม่ได้มีอะไรผิดปกติมากมายเลย Bankman-Fried กล่าวอาจจะแย่กว่าบริษัททั่วไป 2-3 เท่า ไม่ใช่ 20-30 เท่าเสียที่ไหน เขาบอกด้วยว่า FTX ซื้อคาร์บอนเครดิตมาทดแทนการใช้งาน และยังลงทุน 1 ล้านเหรียญในแผนการดักจับและจัดเก็บคาร์บอน

อย่างไรก็ตามโจทย์ที่ท้าทายที่สุดอาจมีอยู่ว่า เขาจะทำอย่างไรต่อไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาต้องหาทางคงไว้ซึ่งอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ FTX โดยไม่ไปขัดใจหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาล

คริปโตเคอร์เรนซีเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาด หรือไม่ก็ต้องเผชิญกับข้อจำกัดอันเข้มงวดในหลายประเทศ รวมถึงจีน โบลิเวีย และตุรกี ส่วนในสหรัฐฯ ปีนี้สภาคองเกรสได้เสนอร่างกฎหมายอย่างน้อย 18 ฉบับ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโดยตรง Brian Armstrong เศรษฐีพันล้านซีอีโอของ Coinbase เพิ่งจะออกมาประณามคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ระหว่างการถกเถียงกันเรื่อง Lend ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์กู้ยืมคริปโตเคอร์เรนซี สุดท้ายแล้ว Coinbase ก็ต้องยอมแพ้

เดินหน้าทำเงิน

ขณะเดียวกัน Bankman-Fried ได้นำเงินอัดฉีดจำนวน 900 ล้านเหรียญที่มีให้กับ FTX ไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยแสวงหาโอกาสเข้าซื้อกิจการเพื่อขยายฐานผู้ใช้งาน หรือไม่ก็เพื่อให้ได้ใบอนุญาตดำเนินกิจการในพื้นที่สำคัญๆ

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา FTX ประกาศแผนเข้าซื้อ LedgerX ซึ่งเป็นตลาดใน New York ที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมาธิการการซื้อขายแลกเปลี่ยนสัญญาสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าแห่งสหรัฐฯ (U.S. Commodity Futures Trading Commission - CFTC) เพื่อขายอนุพันธ์คริปโต หมายความว่า อีกไม่นาน FTX อาจกลายเป็นตลาดคริปโตรายใหญ่แห่งแรกที่เสนอขายผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ในสหรัฐฯ ก่อนหน้า Binance, Coinbase และ Kraken พวกเขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วอย่างน่าชื่นชมเพื่อบรรลุข้อตกลง Christopher Giancarlo อดีตประธาน CFTC กล่าว

นอกจากนี้ Bankman-Fried ยังทุ่มเงินอีกหลายร้อยล้านเหรียญในการทำการตลาดกระแสหลัก ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงมูลค่า 210 ล้านเหรียญเพื่อฝากตราประทับของแบรนด์ FTX ไว้ในลีกกีฬาอีสปอร์ตชั้นนำอย่าง TSM เมื่อเดือนมิถุนายน สัญญามูลค่า 135 ล้านเหรียญ เพื่อเปลี่ยนชื่อสนามของทีม Miami Heat เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาและยังเซ็นสัญญามูลค่า 17.5 ล้านเหรียญเพื่อคว้าสิทธิในชื่อสนามอเมริกันฟุตบอลของ UC Berkeley เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

ล่าสุดเขาเพิ่งเปิดตัวแคมเปญโฆษณาราคา 30 ล้านเหรียญเพื่อประชาสัมพันธ์ FTX ผ่านแบรนด์แอมบาสซาเดอร์อย่าง O’Leary จากรายการ Shark Tank และ Tom Brady ตำนานศึกอเมริกันฟุตบอล NFL รวมถึง Steph Curry ซูเปอร์สตาร์จากลีกบาสเกตบอล NBA ซึ่งทั้ง 3 คนต่างก็มีหุ้นใน FTX

เป้าหมายของ Bankman-Fried คือ การสร้างบริษัทการเงินความเสี่ยงสูงอายุ 2 ปีแห่งนี้ให้กลายเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงปลอดภัยหากบริษัทของคุณกลายเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาในชีวิตประจำวันโอกาสที่หน่วยงานกำกับดูแลที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองจะปิดบริษัทของคุณก็เป็นไปได้ยากมากขึ้น เหมือนคำแนะนำในคู่มือการเล่นเกมของ PokerStars ในยุคแรกที่การพนันออนไลน์กำลังรุ่งเรืองและได้รับความนิยมสูงสุดราวปี 2010 ก่อนที่ FanDuel และ DraftKings สองบริษัทเกมกีฬาจะนำไปใช้ในเวลาต่อมา

Bankman-Fried ต้องการทำอะไรที่มากกว่าคริปโต เมื่อปีที่แล้วเขาพา FTX เข้าสู่ตลาดการทำนายเหตุการณ์เพื่อเก็งกำไร ซึ่งเทรดเดอร์จะสามารถพนันผลลัพธ์ของเหตุการณ์ระดับโลกได้แบบเรียลไทม์ เช่น การแข่งขัน Super Bowl และการเลือกตั้งประธานาธิบดี นอกจากนี้ เขายังต้องการขยายธุรกิจด้วยความหวังว่า สักวันหนึ่งลูกค้าจะสามารถซื้อขายทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ออปชัน Ethereum ไปจนถึงหุ้นของ Microsoft ผ่านกองทุนรวมทาง FTX

โลกใบนี้มันกว้างใหญ่ไพศาลผู้รับผลประโยชน์รายใหญ่ที่สุดในยุครุ่งเรืองของคริปโตกล่าวอย่าไปคิดว่าคริปโตจะเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์เหมาะสำหรับการเพาะปลูกได้ตลอดไป

เรื่อง: STEVEN EHRLICH และ CHASE PETERSON-WITHORN เรียบเรียง: รัน-รัน ภาพ: GUERIN BLASK, YONG LI XUAN/THE STRAITS TIMES/NEWSCOM อ่านเพิ่มเติม:
คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมีนาคม 2565 ในรูปแบบ e-magazine