มนตร์ฮอกวอร์ตส์ยังไม่เสื่อม! J.K. Rowling หวนบัลลังก์มหาเศรษฐีพันล้านอีกครั้ง - Forbes Thailand

มนตร์ฮอกวอร์ตส์ยังไม่เสื่อม! J.K. Rowling หวนบัลลังก์มหาเศรษฐีพันล้านอีกครั้ง

วรรณกรรมชุด Harry Potter เคยพลิกชีวิตคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องพึ่งรัฐสวัสดิการสู่นักเขียนผู้มั่งคั่งระดับพันล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่การทุ่มเงินเพื่อการกุศลทำให้เธอร่วงลงจากทำเนียบมหาเศรษฐี บัดนี้ต้องขอบคุณหนังสือ ภาพยนตร์ บทละคร และสวนสนุกอีกหลายแห่ง ที่ร่ายมนตร์พาเธอหวนคืนบัลลังก์อีกครั้ง แม้การมีตัวตนบนโลกโซเชียลของเธอมักกระตุ้นให้ชาวเน็ตออกมาถกเถียงกันในวงกว้าง


    ศาสตร์มืดอย่างวัฒนธรรมคว่ำบาตร (cancel culture) ไม่อาจเทียบชั้นเวทมนตร์ของ J.K. Rowling ผู้เขียน Harry Potter ได้ หากมีราคาใดที่ต้องจ่ายในการพาตัวเองไปยืนบนจุดศูนย์กลางของการโต้เถียงในประเด็นเกี่ยวกับสิทธิของคนข้ามเพศ คุณคงไม่อาจรู้ได้จากการส่องฟีดที่เต็มไปด้วยประเด็นร้อนบน X (หรือ Twitter) ของเธอ

    Rowling มักโพสต์ข้อความหลายครั้งต่อวันเพื่อสนับสนุนแนวคิดแบบมูลฐานนิยมว่าด้วยเพศภาวะ (gender fundamentalism) ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ติดตามกว่า 14 ล้านรายของเธอ บ่อยครั้งที่มีการโต้คารมกับผู้ที่มาแสดงความคิดเห็น ถึงขั้นกระทบความสัมพันธ์ที่เธอมีกับบรรดานักแสดงนำจากภาพยนตร์ Harry Potter ทั้ง Daniel Radcliffe, Emma Watson และ Rupert Grint สลับกับการเฉลิมฉลองความสำเร็จส่วนตัวของเธอเอง

    “ฉันรักจริงๆ เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง” เธอเขียนข้อความดังกล่าวช่วงกลางเดือนเมษายน ซึ่งมีที่มาจาก Hannibal Smith ตัวละครจากซีรีส์ The A-Team ภายหลังศาลฎีกาของสหราชอาณาจักรประกาศนิยมทางกฎหมายของผู้หญิงว่าต้องอ้างอิงจากเพศทางชีวภาพ (biological sex) เท่านั้น นอกจากนี้เธอยังแนบรูปตัวเองถือแก้วค็อกเทลและสูบซิการ์อยู่บนเรือซูเปอร์ยอชต์ซึ่งมีมูลค่า 150 ล้านเหรียญ

    หากตัดประเด็นทางวัฒนธรรมออกไป อาณาจักรธุรกิจของ Rowling ในวัย 59 ปี นับได้ว่ายิ่งใหญ่กว่าที่แล้วมา ตลอดระยะเวลา 4 ปีนับตั้งแต่เธอเริ่มโพสต์ข้อความเกี่ยวกับสิทธิของคนข้ามเพศในปี 2020 ทีมงาน Forbes ประเมินว่าเธอมั่งคั่งขึ้นกว่า 80 ล้านเหรียญจากยอดขายหนังสือและการดำเนินการต่อยอดจักรวาล Potterverse ออกไปไกลโพ้น ทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์ สวนสนุก วิดีโอเกม ละครเวที และสินค้าต่างๆ แม้ต้องเผชิญกับอัตราภาษีสูงลิ่วในสหราชอาณาจักรและการขยายโครงการการกุศลต่างๆ ของตัวเอง เธอกลับหวนคืนสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีได้อย่างสบายๆ ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 1.2 พันล้านเหรียญ (ราว 3.92 หมื่นล้านบาท)

    Rowling เคยเป็นขาประจำบนทำเนียบมหาเศรษฐี Forbes ตั้งแต่ปี 2004-2011 ด้วยอานิสงส์จากความนิยมของ Harry Potter ก่อนรายงานในปี 2012 จะเผยว่าเธออุทิศเงินเพื่อการกุศลไปถึง 160 ล้านเหรียญ หลายปีจากนั้น เธอก็สร้างความมั่งคั่งหลักพันล้านได้อีกครั้งด้วยกระแสรายได้หลายล้านเหรียญซึ่งไหลบ่าเข้ามาจากทุกทิศทางเท่าที่จะมากได้

    ความแกร่งของเธอยังไม่มีทีท่าจะแผ่วลงในเร็วๆ นี้ เนื่องด้วยซีรีส์ใหม่จาก HBO Max ที่ดัดแปลงจากหนังสือ Harry Potter กำลังจะถ่ายทำในฤดูร้อนปีนี้และจะเริ่มต้นฉายได้ช่วงปลายปี 2026 โดยคาดว่าซีรีส์ดังกล่าวจะใช้เวลาดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นจบครบหนึ่งทศวรรษพอดี และจะสร้างฐานแฟนรุ่นใหม่ขึ้นมา

    Forbes คาดการณ์ว่า Rowling สามารถทำรายได้ราว 20 ล้านเหรียญต่อปีจากการมีบทบาทในการสร้างซีรีส์ใหม่นี้ ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากดีลยักษ์ใหญ่ที่เธอมีกับ Warner Bros. และ Casey Bloys ซีอีโอ HBO Max ก็เผยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า “เธอ (Rowling) มีส่วนร่วมมากๆ ในกระบวนการเลือกนักเขียนบทและผู้กำกับ”

    จากประกาศบนเว็บไซต์ Warner Bros. เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมา หลังจากเฟ้นหาอย่างละเอียด Bloys ก็เลือกนักแสดงที่จะมารับบท Harry, Hermione และ Ron ในวัยเด็กแบบเดิมเป๊ะๆ ครั้นได้สอบถามเธอเกี่ยวกับแนวคิดด้านการเมืองของ Rowling ในรายการพอสแคสต์ The Town with Matt Belloni ในเดือนเมษายน เธอเผยว่า “เธอ (Rowling) มีสิทธิ์จะคิดแบบนั้น และหากคุณต้องการโต้แย้งเธอ คุณก็สามารถทำได้บน Twitter”

    นับเป็นเวลาเกือบสามทศวรรษตั้งแต่หนังสือ Harry Potter and the Philosopher’s Stone (แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์) ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในปี 1997 ซึ่งตลอดมา Rowling ก็ได้สานต่อจักรวาล Potterverse อย่างชาญฉลาด สร้างเป็นแฟรนไชส์ที่อยู่ยงคงกระพันไม่แพ้เพื่อนตัวละครสมมติสัญชาติบริติชผู้โด่งดังอย่าง Sherlock Holmes และ James Bond

    จากข้อมูลของ Habo Studio บริษัทที่ปรึกษาในสหรัฐอเมริกาที่คอยจัดอันดับแบรนด์ทรัพย์สินทางปัญญาที่แข็งแกร่งที่สุดโดยการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคนับพันคน Harry Potter ถือเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับ 6 จากทุกความบันเทิง และเป็นอันดับ 1 ในหมู่คนรุ่นมิลเลนเนียล



Harry Potter วรรณกรรมพลิกชีวิต

    Warner Bros. เล็งเห็นศัพยภาพของทรัพย์สินทางปัญหาของ Rowling ตั้งแต่เนิ่นๆ และได้ซื้อลิขสิทธิ์การทำภาพยนตร์นับตั้งแต่หนังสือเล่มแรกยังไม่วางขาย ณ ตอนนั้น Rowling เป็นเพียงคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องพึ่งพารัฐสวัสดิการ “ยากจนที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในบริเตนสมัยใหม่โดยที่ยังไม่กลายเป็นคนไร้บ้าน” เธอเผยในการให้สัมภาษณ์กับ The London Times

    เมื่อถึงคราวที่ภาพยนตร์ภาคแรกเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ช่วงปลายปี 2001 Rowling ก็ตีพิมพ์หนังสือ Harry Potter ออกมาได้ 4 ภาคและมียอดขายกว่า 100 ล้านเล่ม พลิกชีวิตของเธอที่เคยอยู่ด้วยรัฐสวัสดิการสู่เศรษฐีนีคนดัง โดย 2 ปีถัดจากนั้น Chris Little คนกลางของ Rowling บอกกับ Forbes ว่า มียอดขาย Harry Potter แตะ 250 ล้านเล่มแล้ว กลายเป็นแหล่งที่มาหลักของทรัพย์สินมหาศาลที่ Rowling ถือครอง

    ด้านแฟรนไชส์ภาพยนตร์ทั้งหมดก็มียอดขาย box office ทั่วโลกรวมเกือบ 7.7 พันล้านเหรียญนับตั้งแต่เริ่มฉายภาคแรกในปี 2011 ถือเป็นแฟรนไชส์ที่สร้างรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ณ เวลานั้น โดยในขณะเดียวกันก็มีการต่อรองข้อตกลงระหว่าง Rowling และ Warner Bros. ใหม่หลายครั้ง ทั้งในเรื่องของข้อกำหนดและการคุ้มครองต่างๆ ต่อเนื่องไปจนถึงส่วนแบ่งรายได้จากภาพยนตร์ การมีชื่อปรากฏในฐานะผู้อำนวยการสร้างของสองภาคสุดท้าย และเหนืออื่นใดคืออำนาจเด็ดขาดในการที่ “จะไม่มีภาคต่อที่ผู้เขียนไม่ได้แต่ง” ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีเนื้อหาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Harry Potter ถูกพัฒนาขึ้นโดยปราศจากการอนุมัติของ Rowling

    หากจะมีสิ่งใดที่ Rowling ตั้งใจปกป้องอย่างหวงแหนเสียยิ่งกว่าความเชื่อทางการเมือง ก็คงเป็นสิทธิในตัวละครต่างๆ จากปลายปากกาของเธอเอง

    เงื่อนไขตามข้อตกลงทำให้ Rowling เข้ามามีส่วนเจรจาควบคุมการเขียนบทภาคแยกของ Harry Potter อย่าง Fantastic Beasts and Where to Find Them (สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่) ในปี 2016 ซึ่งมีภาคต่อมาอีก 2 ภาค โดยภาค 3 ที่ปล่อยออกมาในปี 2022 เปรียบดั่งบททดสอบแรกหลังสาธารณชนมีปฏิกิริยาตอบสนองเชิงลบ (รวมทั้งเรียกร้องให้มีการแบน) ต่อจุดยืนต่อต้านสิทธิของคนข้ามเพศของ Rowling โดย Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore (สัตว์มหัศจรรย์ ความลับของดัมเบิลดอร์) กวาดรายได้จาก box office ทั่วโลกรวมเพียง 400 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างกว่า 250 ล้านเหรียญ นับว่าเป็นการเจ๊งครั้งใหญ่

    กระนั้น Rowling ยังอยู่ห่างไกลจากการถูกคว่ำบาตร เพราะบัตรเข้าชมการแสดงละครเวที Harry Potter and the Cursed Child (แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเด็กต้องคำสาป) ก็ยังขายได้เรื่อยๆ ใน Broadway, West End ของ London และโรงละครอื่นๆ อีก 5 แห่งทั่วโลก สร้างรายได้กว่า 1 พันล้านเหรียญนับตั้งแต่รอบพรีเมียร์ในปี 2016 ซึ่งแน่นอนว่า Rowling ได้รับส่วนแบ่งจากตรงนี้ด้วย

    HBO Max ยังผลิตซีรีส์เรื่อง C.B. Strike ซีซั่นที่ 5 ซึ่งเป็นการดัดแปลงผลงานนวนิยายสืบสวนสำหรับผู้ใหญ่ของ Rowling ที่เขียนขึ้นภายใต้นามปากกา Robert Galbraith นอกจากนี้ วิดีโอเกม Hogwarts Legacy ที่เปิดตัวใหม่ในปี 2023 ก็มียอดขาย 24 ล้านชุด ขึ้นแท่นเกมขายดีที่สุดในปีนั้น สร้างรายได้ให้เธออีก 1 พันล้านเหรียญ

    ด้วยทิศทางอันแข็งแกร่งเหล่านั้นเอง Warner Bros. จึงไม่ลังเลที่จะเพิ่มเดิมพันการลงทุนในโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Harry Potter โดยเมื่อ David Zaslav ถูกจ้างเข้ามาบริหารงานในตำแหน่งซีอีโอในปี 2022 เขาก็บินพบปะพูดคุยกับ Rowling ที่สก็อตแลนด์เพื่อแสวงหาหนทางในการพัฒนาคอนเทนต์ใหม่ๆ เกี่ยวกับโลกพ่อมด

    ขณะที่ Rowling ถือสิทธิในภาคก่อนจะมาเป็นเนื้อเรื่องหลักและภาคแยกต่างๆ Warner Bros. ก็ยังคงมีอำนาจดูแลเนื้อหาที่มาจากหนังสือ 7 เล่มดั้งเดิม กลายเป็นที่มาว่าทำไมทางสตูดิโอถึงพยายามจะรีเมคภาพยนตร์ในรูปแบบของซีรีส์ ซึ่งท้ายที่สุดแผนการดังกล่าวก็ได้รับความเห็นชอบจาก Rowling ในปี 2023

    “เจตจำนงของ Max ที่เคารพต่อต้นฉบับหนังสือถือว่าสำคัญสำหรับฉันค่ะ” Rowling เผยหลังมีการประกาศทำซีรีส์ Harry Potter

    แม้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับ Potterverse จะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง บรรดานักวิเคราะห์เชื่อว่าการที่ Rowling เข้ามามีบทบาทใกล้ชิดและแทบจะเป็นผู้ประพันธ์เนื้อหาทั้งหมดในโลกของ Harry Potter แต่เพียงผู้เดียวจะช่วยปกป้องวรรณกรรมเรื่องนี้จากการถูกปรับบทและแปลงเนื้อหามากเกินงามซึ่งเป็นปัญหาลุกลามวงการทรัพย์สินทางปัญญาตลอดหลายปีมานี้ ยกตัวอย่างเช่นกรณีของ Marvel และ Star Wars ที่อยู่ภายใต้ Disney

    ไม่ว่าแบรนด์ Harry Potter จะไปที่ใด ก็จะมีลูกค้าที่ยินดีสนับสนุนอยู่เสมอ เมื่อครั้งสวนสนุก Universal’s Islands of Adventure เปิดโซน Wizarding World ครั้งแรกในปี 2010 จำนวนผู้มาเยือนก็เพิ่มขึ้นถึง 36% และรายได้ก็เพิ่มขึ้น 40%

    Comcast บริษัทแม่ของ Universal’s Islands of Adventure เรียกรายงานทางการเงินประจำปีนั้นว่าเป็น “การเปลี่ยนแปลงของบริษัท” และนับตั้งแต่มีการเพิ่ม ธีม Harry Potter เข้ามายังสวนสนุกอื่นๆ ทั้งใน Orlando, Hollywood, Tokyo และ Beijing ทั้งหมดต่างมียอดผู้มาเยือนเพิ่มขึ้นเป็นผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน



    เช่นเดียวกับทางเหนือของ London อันเป็นที่ตั้งของ Warner Bros. Studio Tour London - The Making of Harry Potter นิทรรศการเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ Harry Potter ก็มีรายได้ทะลุ 300 ล้านเหรียญ และมีกำไรจากการดำเนินงาน 120 ล้านเหรียญในปี 2023

    “ไม่เคยมีอะไรกระตุ้นยอดเข้าชมสวนสนุกได้มากถึง 36% ไม่ว่าจะ Disney หรือ Six Flag หรือใครก็ตาม” Dennis Spiegel ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ International Theme Park Services กล่าว “ในทัศนะของผม ดีลลิขสิทธิ์ Harry Potter อาจจะเป็นข้อตกลงด้านลิขสิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาในวงการสวนสนุกตลอดระยะเวลา 40 ปีมานี้”

    Universal ถือครองลิขสิทธิ์จาก Warner Bros. และในการขยายขอบเขตธุรกิจดังกล่าว Rowling ย่อมได้รับส่วนแบ่งจากทุกการจับจ่ายใช้สอยที่เกิดขึ้นในสวนสนุก นับตั้งแต่สินค้าไม้กายสิทธิ์ ผ้าพันคอ ไปจนถึงบัตเตอร์เบียร์ทุกแก้ว จากการประเมินของ Forbes สวนสนุกเหล่านี้เป็นแหล่งรายได้ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของ Rowling ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา


ต่อยอดความมั่งคั่งควบคู่ตอบแทนสังคม

    แน่นอนว่าความมั่งคั่งส่วนใหญ่ที่ก่อร่างสร้างเป็นอาณาจักรของ Rowling นั้นมาจากยอดขายหนังสือ จากข้อมูลของสำนักพิมพ์ Scholastic ในสหรัฐฯ วรรณกรรมชุด Harry Potter ยังคงขายได้มากกว่า 600 ล้านเล่มทั่วโลก ครองพื้นที่บนทำเนียบหนังสือขายดีของ New Tork Times ยาวนานถึง 843 สัปดาห์และจะยังคงอยู่ต่อไป

    หนังสือบทละคร Cursed Child ฉบับปกแข็งที่เดียวด้วยนักเขียนบท Jack Thorne แต่ร่วมรังสรรค์เนื้อหาโดย Rowling, Thorne และผู้กำกับอย่าง John Tiffany ก็มียอดขายกว่า 4 ล้านเล่มในปี 2016 ซึ่งเป็นปีแรกที่เปิดตัว ส่วนหนังสือภาพ Christmas at Hogwarts ก็ขึ้นแท่นอันดับ 1 ในหมวดหนังสือประจำวันหยุดเทศกาลคริสต์มาสปี 2024 นอกจากนี้ Rowling ยังตีพิมพ์หนังสือนวนิยายชุด Cormoran Strike ภายใต้นามปากกา Galbraith มาตั้งแต่ปี 2013

    Rowling ไม่เคยขายสิทธิในการนำผลงานของเธอไปทำอีบุ๊ก แต่เลือกก่อตั้ง Pottermore Publishing ขึ้นในปี 2012 ซึ่งเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด และปัจจุบันก็สร้างกระแสรายได้ให้เธอหลายล้านเหรียญต่อปี

    ตัวแทนจาก The Blair Partnership ซึ่งเป็นทีมบริหารจัดการของ Rowling ปฏิเสธจะแสดงความคิดเห็นเรื่องความมั่งคั่งของเธอ แต่เลือกจะแถลงแก่ Forbes ว่า “ความหลงใหลใน Harry Potter จากทั่วโลกยังคงขับเคลื่อนการเติบโตและการรังสรรค์ผลงานใหม่ๆ ของทางแบรนด์ควบคู่ไปกับแรงสนับสนุนจากพาร์ทเนอร์อันน่าทึ่งของเรา ตั้งแต่ความร่วมมือกับสำนักพิมพ์ สวนสนุก ผลิตภัณฑ์ แบรนด์สินค้า โรงละคร เกม และโทรทัศน์ รวมถึงโครงการอันน่าตื่นเต้นอีกมากมายที่กำลังพัฒนาอยู่ทั่วทุกมุมโลก แฟนๆ จากทุกช่วงวัยต้องรอติดตามถึงประสบการณ์แห่งมนตร์วิเศษที่กลั่นมาจากจากฝีมือ J.K. Rowling ที่พวกเขาชื่นชอบ พวกเราต่างก็ตั้งตารอที่จะพบกับบทต่อไปของแฟรนไชส์นี้ ซึ่งรวมถึงการครบรอบ 10 ของ Harry Potter and the Cursed Child, หนังสือเสียงเต็มรูปแบบบน Pottermore และ Audible ที่ใช้นักพากย์กว่า 100 ชีวิต และแน่นอนว่าต้องมีซีรีส์ทาง HBO Max ที่ทุกคนเฝ้าคอย”

    เมื่อพิจารณาจากรายได้และที่มาของกระแสรายได้อันหลากหลาย มูลค่าความมั่งคั่งสุทธิของ Rowling อาจสูงกว่านี้ หากไม่ใช่เพราะเธออุทิศทรัพย์สินส่วนหนึ่งเพื่อการกุศล

    Forbes ประเมินว่าเธอบริจาคทรัพย์สินไปมากกว่า 250 ล้านเหรียญตลอด 20 ปีที่ผ่านมา โดยมี 3 เป้าหมายหลัก ได้แก่ Lumos มูลนิธิที่ช่วยเหลือเด็กถูกทิ้งกว่า 280,000 คนที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าในโรมาเนีย เฮติ โคลอมเบีย และยูเรน, Volant ทรัสต์ที่มุ่งช่วยเหลือเหยื่อจากการถูกคุกคามทางเพศ ความรุนแรงในครอบครัว และเด็กที่ตกอยู่ในอันตรายในสก็อตแลนด์ และสุดท้ายคือ Anne Rowling Regenerative Neurology Clinic ซึ่งให้การรักษาผู้ป่วยเกี่ยวกับระบบประสาท อาทิ โรค MS ที่เคยคร่าชีวิตมารดาของเธอสมัยที่ Rowling อายุเพียง 25 ปี

    เธอยังประกาศชัดแจ้งเรื่องการพำนักอาศัยอยู่ใน Edinburgh สก็อตแลนด์และเสียภาษีในอัตราสูงสุดของประเทศที่ 45% ในปี 2010 Rowling เคยเขียนว่าเธออยากให้ลูกๆ ของเธอเป็น “พลเมืองในทุกๆ นิยามของประเทศที่แท้จริง ไม่ใช่คนไร้รากที่อยู่แบบหลักลอย ใช้ชีวิตโดยปราศจากความมั่นคงในพื้นที่ภาษีต่ำ และคบค้าสมาคมได้แค่กับลูกหลานของพวกที่ออกนอกประเทศเพื่อเลี่ยงภาษีแบบเดียวกัน” เธอมองว่ามันเป็นการตอบแทนที่ชีวิตของเธอมาได้ไกลขนาดนี้ในรูปแบบหนึ่ง พร้อมเสริมว่า “ฉันเป็นหนี้รัฐสวัสดิการของอังกฤษค่ะ” และบอกว่ามันเป็น “ความรักชาติในแบบของฉัน” ที่จะเสียภาษีให้ระบบเพื่อคนอื่นๆ

    ทั้งนี้ Rowling หาได้เหนียมอายที่จะอวดความร่ำรวยของเธอบนพื้นที่สาธารณะอย่างโซเชียลมีเดีย โดยเธอใช้มันเป็นไพ่ใบสำคัญในการโต้ตอบกับผู้คนที่เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์หลังเธอโพสต์ข้อความแสดงออกถึงการต่อต้านคนข้ามเพศ

    “คุณนอนหลับลงได้ยังไงที่รู้ว่ามีคนมากมายเลิกซื้อหนังสือของคุณ” ผู้ใช้งาน X รายหนึ่งเขียนในปี 2022

    “ฉันหยิบพวกเช็กค่าลิขสิทธิ์ใบล่าสุดมาดูน่ะค่ะ” Rowling ตอบ “แล้วก็พบว่าความเจ็บปวดจางหายไปรวดเร็วทีเดียว”


แปลและเรียบเรียงจาก J.K. Rowling Is A Billionaire—Again ซึ่งเขียนโดย Matt Craig​

ภาพจาก Tolga Akmen on AFP, Aditya Vyas and Samuel Regan-Asante on Unsplash​


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 50 Over 50 Global 2025 สตรีวัยเก๋าผู้มั่งคั่ง-ทรงอิทธิพล และร่วมกำหนดทิศทางโลก

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine