Oppenheimer หนังออสการ์ 7 รางวัล สร้างรายได้เท่าไหร่ให้ Christopher Nolan - Forbes Thailand

Oppenheimer หนังออสการ์ 7 รางวัล สร้างรายได้เท่าไหร่ให้ Christopher Nolan

Oppenheimer ได้เปลี่ยนเวที Academy Award ครั้งที่ 96 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “รางวัลออสการ์” จากการแข่งขันสู่การเฉลิมฉลองเกียรติยศ โดยกวาดรางวัลไปทั้งสิ้น 7 สาขาด้วยกัน ได้แก่ นักแสดงชายยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม การถ่ายภาพยอดเยี่ยม การตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และเพลงบรรเลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ดังเช่นที่หลายคนคาดการณ์ไว้


    Oppenheimer เป็นภาพยนตร์ชีวประวัติของ J. Robert Oppenheimer นักฟิสิกส์ผู้ได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งระเบิดปรมาณู” โดยอ้างอิงจากหนังสือรางวัลพูลิตเซอร์ American Prometheus: The Triumph and Tragedy of J. Robert Oppenheimer ซึ่งนอกจากจะเป็นภาพยนตร์น้ำดีเนื้อหาเข้มข้นจนควรค่าแก่รางวัลแล้ว ยังสร้างรายได้มหาศาล โดยกวาดรายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกรวมเกือบ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

    นักวิจารณ์กล่าวว่า ความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้จะกลายเป็นเสมือนประกาศนียบัตรสำคัญที่ช่วยยกระดับอาชีพการงานของผู้มีส่วนร่วมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งยังยกย่องให้ผู้กำกับอย่าง Christopher Nolan เป็นหนึ่งในผู้สร้างภาพยนตร์ที่ทำเงินได้สูงสุดคนหนึ่งใน Hollywood


Cillian Murphy นักแสดงนำ Oppenheimer และ Christopher Nolan


    ผู้จัดการศิลปินซึ่งเป็นตัวแทนของดาวเด่นระดับแนวหน้าของวงการคนหนึ่งมอง Nolan ว่าเป็น “ดาราภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานี้”

    อันที่จริง ผู้กำกับวัย 53 ปีผู้นี้ก็มีรายได้ไม่ต่างจากดารานักแสดงชั้นนำ โดย Forbes ประเมินว่าเขาได้รับส่วนแบ่งราว 15% จากรายได้รวมของผู้จัดจำหน่าย (First-Dollar Gross) ซึ่งเป็นรายได้จากการขายตั๋วนับตั้งแต่วันแรกที่ภาพยนตร์เข้าฉายซึ่งยังไม่หักค่าใช้จ่ายอื่นๆ

    เมื่อพิจารณาร่วมกับยอดขายแผ่นและค่าลิขสิทธิ์สตรีมมิงแล้ว Nolan จะมีรายได้รวม 85 ล้านเหรียญ โดยหลังจ่ายค่าธรรมเนียมต่างๆ แก่ตัวแทนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 72 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นตัวเลขก่อนหักภาษี และตัวเลขเหล่านี้ยังจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีการนำไปให้รับชมผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิงต่างๆ นับจากนี้

    นับเป็นจุดสูงสุดในอาชีพครั้งใหม่ของ Nolan ที่เคยได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ด้านการกำกับและการเขียนบทภาพยนตร์มาก่อน แต่เพิ่งคว้ารางวัลจริงในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ) จากการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ความยาวราว 3 ชั่วโมง ที่บางส่วนเป็นขาวดำ และเล่าเรื่องชีวิตของนักฟิสิกส์ทฤษฎี

    แม้คอนเซ็ปต์จะชวนเครียด Nolan ก็เก่งเรื่องการสร้างปรากฏการณ์ที่สามารถดึงดูดผู้ชมเข้าโรงภาพยนตร์ได้เสมอมา ไม่ว่าหลุมดำใน Interstellar หรือระเบิดปรมาณูใน Oppenheimer ภาพยนตร์ทุกเรื่องที่เขาผลิตตั้งแต่เรื่องแรกที่ร่วมมือกับ Warner Bros. ในปี 2002 อย่าง Insomnia ก็กวาดรายได้จากการขายตั๋วไปอย่างน้อย 100 ล้านเหรียญ

    ภาพยนตร์ 6 เรื่องจากทั้งหมด 7 เรื่องล่าสุดของเขาทำเงินรวมกว่า 500 ล้านเหรียญ โดยเฉพาะ Dark Knight สองภาคสุดท้าย โดยภาพยนตร์เรื่องที่ 7 หรือ TeneT ที่ปล่อยออกมาช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาดหนักก็ยังสร้างรายได้อย่างน่าประทับใจที่ 350 ล้านเหรียญ

    สถิติรายได้เหล่านี้ทำให้ Nolan กลายเป็นหลักสำคัญของ Warner Bros. แต่ในเดือนธันวาคมปี 2022 หลังจากทางสตูดิโอประกาศนำภาพยนตร์ทุกเรื่องขึ้นเผยแพร่บนแพลตฟอร์มสตรีมมิงในวันเดียวกับที่เข้าฉาย Nolan ก็เผยความผิดหวังออกมาโดยไม่ปิดบัง

    “ผู้สร้างภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการรวมถึงดาราดังหลายคนเคยเข้านอนพร้อมความคิดที่ว่า พวกเขากำลังทำงานให้สตูดิโอภาพยนตร์อันยอดเยี่ยม แต่กลับตื่นมาพบว่าตัวเองกำลังทำงานให้บริการสตรีมมิงที่แย่ที่สุดต่างหาก” เขาบอกกับ The Hollywood Reporter พร้อมเสริมว่า “พวกเขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ากำลังเสียอะไรไป”

    ปรากฏว่าความสูญเสียที่สำคัญยิ่งนั้นก็คือ Nolan

    เมื่อถึงเวลาขายโปรเจ็กต์ใหม่ในเดือนกันยายน 2021 ผู้บริหารจาก Paramount, Sony, Universal และ Apple ถูกเชิญมาที่สำนักงานของเขาใน Hollywood Hills เพื่ออ่านบท Oppenheimer และพิทช์งาน โดยเป็นที่รู้กันดีว่า Nolan จะเก็บบทภาพยนตร์ของเขาแบบออฟไลน์เสมอ


ภาพโปรโมตภาพยนตร์ Oppenheimer


    หลายสตูดิโอต่างพยายามแย่งยิงโปรเจ็กต์สุดยิ่งใหญ่นี้ ซึ่ง Nolan ก็ได้แสดงความต้องการโดยยื่นข้อเสนอล่วงหน้าแก่พันธมิตรที่มีประสิทธิภาพหลายข้อ เช่น งบการผลิต 100 ล้านเหรียญ (ถือว่าน้อย เทียบกับมาตรฐานของเขา), งบการตลาด 100 ล้านเหรียญ, อำนาจการตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย, การขยายเวลาเข้าฉายในโรงภาพยนตร์, ช่วงเวลาที่ทางสตูดิโอจะไม่ปล่อยอะไรออกในสัปดาห์ก่อนและหลังภาพยนตร์ฉาย และส่วนแบ่ง 20% จากรายได้รวมของผู้จัดจำหน่าย

    ส่วนแบ่งจากรายได้รวมของผู้จัดจำหน่ายยังคงเป็นเครื่องชี้วัดอำนาจใน Hollywood ในหมู่นักแสดงนั้นแทบจะหาไม่ได้เลย นอกเหนือจากนักแสดงอาวุโสที่มีเพียงหยิบมือ เช่น Tom Cruise (ที่ได้ส่วนแบ่ง 12.5% จากภาพยนตร์ Mission: Impossible ภาคล่าสุด) กระทั่งในหมู่ผู้กำกับจำนวนมากมาย อำนาจนี้ก็สงวนไว้ให้มือทำเงินระดับสูง เช่น Steven Speilberg, James Cameron และ Peter Jackson เท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด Donna Langley ผู้นำสตูดิโอ Universal ก็ตอบตกลงเงื่อนไขของ Nolan และสร้าง Oppenheimer มีแหล่งข่าวบอกกับ Forbes ว่าดีลส่วนแบ่งของ Nolan กับ Universal เหลือเพียง 15% เท่านั้น ไม่ใช่ 20% ที่เขาขอไปในทีแรก เป็นไปได้ว่าข้อขัดแย้งนี้มาจากการมีส่วนร่วมของ Emma Thomas ภรรยาของ Nolan ที่เป็นคู่หูในการสร้างภาพยนตร์ร่วมกันมานานกว่า 20 ปี

    ค่าธรรมเนียมล่วงหน้านับเป็นเรื่องใหญ่ที่มีผลต่อการแบ่งกำไรเช่นกัน แต่เพื่อให้อยู่ในงบประมาณที่ตั้งไว้ Nolan อาจจะยอมลดค่าตอบแทนจากการกำกับ เขียนบท และสร้างภาพยนตร์ให้น้อยลงกว่าที่เคยขอ หรือก็คือข้อตกลงกับ Universal ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของเขาเลยก็ว่าได้

    กระบวนการผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นช่วงต้นปี 2022 ส่วนวันฉายคือเดือนกรกฎาคมปี 2023 โดยหลังจากนั้นไม่นานนัก Warner Bros. ก็ประกาศปล่อยภาพยนตร์ทำเงินประจำฤดูร้อนของพวกเขาอย่าง Barbie ในวันเดียวกัน ซึ่งหลายคนใน Hollywood มองว่านี่คือการตอบโต้การจากไปของ Nolan

    ในรายการพูดคุย Actors on Actors ของ Variety นักแสดงนำสาว Margot Robbie จาก Barbie เผยว่า Chuck Roven ผู้อำนวยการสร้าง Oppenheimer เคยโทรหาเธอและขอให้ช่วยเลื่อนวันเปิดตัว Barbie เป็นวันอื่นแทน

    “ฉันแบบ เราจะไม่ย้ายวันเปิดตัวค่ะ” Robbie ตอบ “ถ้าคุณกลัวที่ต้องสู้กับเรา คุณก็เลื่อนเองสิคะ”

    และแล้ว Barbenheimer ก็ถือกำเนิดขึ้น การแข่งขันสุดสร้างสรรค์ระหว่างทีมการตลาดทั้งสองฝั่งกลับมีเสียงตอบรับที่ดีจนกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก โดย Barbie และ Oppenheimer ต่างก็เป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดอันดับ 1 และ 3 ประจำปี 2023 ตามลำดับ

    Oppenheimer มีรายได้จากการขายตั๋วกว่า 957 ล้านเหรียญ หลังจากบรรดาโรงภาพยนตร์ต่างๆ หักส่วนแบ่งราว 50% ของตัวเองออกแล้ว (ตัวเลขอาจอยู่ที่ 20% ในสัปดาห์เปิดตัว แต่เพิ่มขึ้นในเวลาต่อมา) Nolan ก็พร้อมสำหรับเงินมหาศาล


ประกาศรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมแห่งเวทีออสการ์ครั้งที่ 96


    ณ เวลานี้ Christopher Nolan ประสบความสำเร็จในการสร้างอิทธิพลเฉพาะตัวในชุมชนคนรักหนังที่มองเขาเป็นเสมือนเทพแห่งการสร้างประสบการณ์รับชมภาพยนตร์ ก่อนที่ Oppenheimer จะเข้าฉายนั้น Nolan เคยออกมาโน้มน้าวให้ผู้ชมไปดูภาพยนตร์ในโรง IMAX ถ้าดีต้องเป็น IMAX 70 mm ที่มีความละเอียดและคมชัดสูงตามอุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายทำ ซึ่งก็เป็นตั๋วแบบที่แพงที่สุดด้วย

    แน่นอนว่า Oppenheimer กลายมาเป็นภาพยนตร์ IMAX ที่กวาดรายได้สูงสุดตลอดกาลอันดับ 4 ด้วยมูลค่า 183.2 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็นเกือบ 20% ของรายได้ทั้งหมดของภาพยนตร์เรื่องนี้

    Nolan ยังออกมาพูดก่อนการขายแผ่นในเดือนพฤศจิกายนด้วยว่า การได้ครอบครอง Blu-ray ของภาพยนตร์เป็นเรื่องสำคัญมาก “เพราะจะไม่มีแพลตฟอร์มสตรีมมิงชั่วๆ หน้าใดสามารถแย่งชิงมันไปจากคุณได้”

    ผลคือ Universal เผยว่าแผ่น 4K Blu-ray ขายหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ทำให้พวกเขาต้องเร่งมือหาสินค้ามาเติมให้ทันความต้องการของลูกค้า

    จากความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของ Oppenheimer ทั้งรายได้และคำวิจารณ์ ศึกชิงโปรเจ็กต์ใหม่ครั้งต่อไปของ Nolan จะต้องยิ่งเข้มข้นขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อปีที่ผ่านว่า Variety รายงานว่า Warner Bros. จ่ายเช็กมูลค่าเจ็ดหลักให้เขา ไม่ได้มีเงื่อนไขใดๆ แต่เป็นการชดเชยรายได้ของภาพยนตร์ TeneT ที่ปล่อยออกมาในปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาดหนัก ทางสตูดิโอยังได้นำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ (IMAX เสียด้วย) ซ้ำ เพื่อเป็นการแสดงการสนับสนุนผู้กำกับฝีมือดีคนนี้ และเพื่อเป็นการขอคืนดีกันอีกด้วย

    “เราหวังจะได้ Nolan กลับมา” Michael De Luca ซีอีโอร่วมแห่ง Warner Bros. กล่าวกับ Variety

    และเมื่อถามถึงหน้าตาข้อตกลงครั้งต่อไปของ Nolan ว่าจะเป็นแบบไหน หนึ่งในทนายสายบันเทิงมืออาชีพคนหนึ่งก็ตอบเพียงสั้นๆ ว่า “ก็แบบที่เขาต้องการอย่างไรเล่า”


แปลและเรียบเรียงเพิ่มเติมจาก Here’s How Much Christopher Nolan Made On ‘Oppenheimer’


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เจาะลึกการตลาดฉบับ Taylor Swift

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine