Dubai Watch Week สถานที่เหล่านักสะสมนาฬิกาตัวยงมารวมตัวกันในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เปรียบเสมือนเวทีที่จะให้โลกได้ประจักษ์เห็นนาฬิกาลิมิเต็ดอิดิชั่นอันเหนือใคร
เรือนเวลาบางเรือนก็ราคาถึงหกหลักเลยทีเดียว ป้ายราคาใดก็ตามที่มีตัวเลขน้อยกว่านั้น ก็ถือว่าเป็นราคาที่จับต้องได้ตามมาตรฐานของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ด้วยจิตวิญญาณเช่นนั้น เราขอนำเสนอเรือนเวลา 5 เรือนชั้นยอดจากงาน Dubai Watch Week ที่ราคาสบายกระเป๋าในบริบทข้างต้น
H. Moser & Cie ไม่เคยเป็นผู้ที่ต้องกังวลว่าผู้คนจะตีความโลโก้ของพวกเขาได้หรือไม่ โมเดลอันโด่งดังหลากหลายโมเดลของแบรนด์นี้ไม่ได้มีชื่อแบรนด์อยู่บนหน้าปัด ในขณะที่นาฬิกาบางโมเดลก็มีชื่อแบรนด์ที่แทบจะอ่านไม่ได้ในรูปแบบ “ล่องหน” ประทับเอาไว้ บน Heritage Bronze “Since 1828” เรือนนี้ ชื่อของ Moser ปรากฎในอักษรซีริลลิกเพื่อเป็นเกียรติแก่ประวัติศาสตร์ยาวนานของบริษัทที่เป็นซัพพลายเออร์ให้แก่ซาร์นิโคลัสที่ 1 และกองทหารรัสเซีย ขอบตัวเรือนเป็นสีบรอนซ์ ส่วนหน้าปัดเป็นสีควันดำสว่างไสวไปด้วยตัวเลขอารบิกเรืองแสงคอยบอกเวลา (19,700 เหรียญสหรัฐฯ)
Reservoir ได้ขุดเหมืองแห่งความเชื่อมโยงสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างนาฬิกาและยนตรกรรมด้วยคอลเล็กชั่น Kanister ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากองค์ประกอบต่างๆ บน แผงหน้าปัดรถยนต์ 356 Speedster สมัย 1950s อันเลื่องชื่อ เรือนเวลาเรือนนี้ขับเคลื่อนด้วย ตัวนาฬิกาขับเคลื่อนด้วยองค์ประกอบพิเศษสองอย่างโดยมีการเคลื่อนไหวแบบ ETA 2824-2 ซึ่งประกอบไปด้วยเข็มนาทีแบบ retrograde ดีไซน์ให้เหมือนกับแผงหน้าปัดยานยนต์คันหรู และตัวบอกชั่วโมงเล็กๆ ที่อยู่บริเวณ 6 นาฬิกา (4,350 เหรียญสหรัฐฯ)
ฟีเจอร์หลักของ Chronoswiss Open Gear ReSec Jungle คือหน้าปัดสลักด้วยเทคนิคกิโยเช (Guilloché) เป็นลวดลายคดโค้งซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากใบปาล์มซ้อนกันประดุจหลังคาในดงป่าทึบ และเมื่อแสงตกกระทบในมุมที่แตกต่างกันไป คุณก็จะสามารถมองเห็นได้ทั้งสีมีเขียวแบบรถแข่งอังกฤษสลับกับสีเงินแซมน้ำเงิน และสีดำเสมือนเงา เป็นเอฟเฟ็คที่เกิดจากการเคลือบผิวด้วยไอเคมี (CVD) ฟันเฟืองที่เคลื่อนไหวอยู่สามารถมองเห็นได้ ณ บริเวณหน้าปัดที่บอกเวลาให้คุณทราบแบบ retrograde ทุกนาที, วินาที 12 ตัวเลขชั่วโมงบนหน้าปัด (9,700 เหรียญสหรัฐฯ)
เรือนเวลา Girard Perregaux Laureato ตัวเลือกสบายกระเป๋าที่ใครๆ ก็ไฝ่หา ซึ่งเปรียบเสมือนตัวตายตัวแทนของนาฬิกาสปอร์ตเหล็กกล้าสองเรือนดังอย่าง Patek Phillipe Nautilus และ Audemars Piguet Royal Oak เรือนนี้มีหน้าปัดเปล่งประกายแสงสีเขียวอันเนื่องมาจากการลงยาแบบกรองด์เฟอบนลวดลายแสงอรุณที่สลักด้วยเทคนิคกิโยเช (Guilloché) โดยนอกจากนี้ยังมีสีน้ำเงินสำหรับผู้ที่สนใจสีอื่นอีกด้วย ในขณะเดียวกัน 42mm Eternity ก็ยังคงไว้ซึ่งความเหลี่ยมของเพชรพลอย (8 ด้านจากเดิมที่มี 14ด้าน) และขอบตัวเรือนเหมือนกับนาฬิการุ่นนี้เมื่อปี 1969 (13,460 ฟรังก์สวิสหรือราวๆ 14,650 เหรียญสหรัฐฯ)
นาฬิกา Ressence Type 1 Slim DX2 ลิมิเต็ดอิดิชันเรือนนี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทุกคนกล่าวถึง ณ งานนาฬิกาที่เมืองดูไบโดยเรือนเวลานี้ออกแบบมาเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ลวดลายอันเฉียบคมบนหน้าปัดวาดแรงบันดาลใจมาจากรูปทรงเรขาคณิตแบบอารบิก เก้าองค์ประกอบที่ก่อให้เกิดลวกลายโมเสคทำมาจากแร่เงินเยอรมันนั้นได้ถูกตกเคลือบด้วยไอทางกายภาพสีทรายงดงาม และส่วนขอบตัวเรือนนั้นก็ผลิตมาจากไทเทเนียม (22,500 ฟรังก์สวิสหรือราวๆ 24,000 เหรียญสหรัฐฯ)
แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ Five (Relatively) Affordable Watches From Dubai Watch Week เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม: Orient Express La Dolce Vita รถไฟหรูพาตะลุยอิตาลี
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine