Orient Express La Dolce Vita รถไฟสุดหรูที่จะพาคุณย้อนยุคไปยังอิตาลีสมัยก่อน พร้อมกับดีไซน์ที่ไม่เหมือนใครให้การเดินทางครั้งต่อไปของคุณอบอวลไปด้วยความอิสระ ความหรูหรา และความสะดวกสบายที่เหนือกว่าใคร
ในช่วงปี 1960s และ 1970s กลิ่นอายของจิตวิญญาณแห่งความอิสระและเสน่ห์แบบ ‘La Dolce Vita’ ได้ฟุ้งไปทั่วเห็นได้จากงานศิลปะ, วิถีสังคม และงานออกแบบในอิตาลี และตอนนี้ รถไฟในชื่อเดียวกันก็อยู่ในช่วงพัฒนาภายใต้การดูแลของ Orient Express โดยพร้อมแสดงให้เห็นถึงดีไซน์ชั้นยอดของประเทศนี้ และแผนที่การเดินทางที่จะพาคุณไปเยือนทั้งเมืองเล็กและเมืองใหญ่
อีกทั้ง รถไฟขบวนนี้ยังได้เดินทางกลับมาสู่รางของบริษัทที่เป็นผู้ดำเนินงานรถไฟ Orient Express อันเก่าแก่ซึ่งดึงดูดความสนใจจากทั่วโลก อีกทั้ง เป็นที่รู้จักเนื่องจาก Agatha Christie ขบวนนี้ได้เดินทางจาก Paris ไปยัง Istanbul ตั้งแต่ปี 1883 แต่เนื่องด้วยธุรกิจที่เริ่มซาลง รถไฟขบวนนี้ก็ได้หยุดเดินทางไปเมื่อปี 1977
และ SNCF เครือข่ายรถไฟสัญชาติฝรั่งเศสก็ได้เข้ามาเป็นเจ้าของชื่อรถไฟชื่อดัง (รถไฟ Venice Simplon-Orient-Express เปิดตัวเมื่อปี 1982 โดยมีการใช้ตู้รถไฟเดิมที่ซื้อมาจากตอนประมูลและรถไฟที่ทาง Belmond เป็นเจ้าของก็เป็นคนละขบวนกันเลย)
โปรเจ็กต์ใหม่นี้เป็นการร่วมมือกันระหว่างบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์อย่าง Gruppo Arsenale S.p.A และบริษัทด้านการบริกานผู้เป็นเจ้าของรถไฟอย่าง Accor ซึ่งได้เข้าถือหุ้นครึ่งหนึ่งในเครื่องหมายการค้า Orient Express เมื่อปี 2017 ส่วนอีกร้อยละ 50 นั้นก็ยังคงเป็นของ SNCF Group โดยนอกจากนี้ทั้งสองผู้ถือหุ้นก็กำลังพัฒนาแผนการเปิดโรงแรม Orient Express อีกด้วย
“เราตื่นเต้นมากที่จะได้นำสปิริตแห่งการท่องเที่ยวอันประณีตของ Orient Express กลับมาให้นักเดินทางรุ่นใหม่ๆ ได้สัมผัส” Stephen Alden ซีอีโอแห่ง Raffles และ Orient Express จาก Accor อธิบาย “เส้นทางเดิมของรถไฟนี้มันก็ล้ำสมัยในแง่ที่ว่ามันผสานวัฒนธรรมต่างๆ เข้าด้วยกันแ แบบ Occident กับ Orient ที่รวมประวัติศาสตร์และความทันสมัยไว้ด้วยกัน”
อีกทั้งยังกล่าวต่อว่า “ในฐานะนายช่างแห่งการเดินทาง เราอยากที่จะฟื้นคืนโลกเก่า, ‘การเดินทางไปยังแห่งอื่น’ ที่สุดพิเศษ และผสานปฏิทรรศน์บางอย่างเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การเดินทางและจุดหมาย, ความอัศจรรย์และแรงบันดาลใจ รวมไปถึง การเคลื่อนไหวและการใคร่ครวญ โดยมีทัศนียภาพอันดึงดูดตาดึงดูดใจที่ผสมผสานวัฒนธรรมต่างๆ ไว้ด้วยกัน
“เราเชื่อว่านักท่องเที่ยวทั้งหลายจะได้สัมผัสประสบการณ์ที่พวกเขาจะไม่มีวันลืมในอิตาลีกับรถไฟ Orient Express La Dolce Vita นี้อย่างแน่นอน” Alden กล่าวปิดท้าย
ออกแบบโดย Dimorestudio สตูดิโอดีไซน์จากเมือง Milan ภายในรถไฟจะยังคงไว้ซึ่งความโอ่อ่า แต่ในขณะเดียวกัน ก็สะท้อนให้เห็นถึงอิตาลียุค 1960s/1970s ไม่ใช่โทนสีเหมือนรถไฟต้นแบบ โดยมีห้องพักดีลักซ์ 12 ห้อง, ห้องสวีท 18 ห้อง, Honour Suite 1 ห้อง และภัตตาคารบนรถไฟ
ทาง Emiliano Salci และ Britt Moran สองผู้ร่วมก่อตั้ง Dimorestudio ได้แรงบันดาลใจมากจากไอคอนด้านการออกแบบทั้งหลายในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็น Carlo Scarpa, Gio Ponti และ Ignazio Gardella อีกทั้งยังได้แรงบันดาลใจมาจากเหล่าศิลปินลัทธิ Spatialism ที่เน้นพื้นที่ว่างและเวลาในงานดีไซน์ของพวกเขาเพื่อที่จะสามารถสร้างงานออกแบบที่ผสมผสานความเป็นยุคสมัยนั้นและสปิริตแห่งการเดินทางไว้ด้วยกัน
แน่นอนว่า บนรถไฟขบวนนี้จะต้องมีอาหารอิตาเลี่ยนฝีมือเชฟท้องถิ่น และไวน์อิตาลีจากซอมเมอลิเยร์ชั้นยอด อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์ ‘Made in Italy’ จากจุดหมายปลายทางมากมายที่รถไฟขบวนนี้จะพาคุณเดินทางไป ณ สถานีหลักของรถไฟสุดหรูนี้ที่สถานี Termini ใน Rome คุณก็จะพบกับเอ็กเซ็กคิวทีฟเลาจน์สำหรับเหล่าผู้โดยสารโดยเฉพาะที่มีเครื่องดื่มสดชื่นที่หาที่อื่นไม่ได้ และทีมงามที่จะช่วยคุณเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง
เส้นทางตราตรึงใจ
การเดินทางจะเกิดขึ้นบนรถไฟ 6 ขบวนเดินทางไปยัง 14 ภูมิภาคทั่วประเทศ จากเหนือลงใต้ และอีก 3 จุดหมายปลายทางนอกอิตาลี โดยจะพาคุณเดินทางจาก Rome ไปสู่ Paris, Istanbul และ เมือง Split โครเอเชีย
เนื่องด้วยนี้เป็นการร่วมมือกับ SNCF ทางรถไฟ 10,000 ไมล์นี้จะพาคุณไปเดินทางไปยังทางรถไฟลัดเลาะประเทศกว่ายาว 4,375 ไมล์ให้คุณได้สัมผัสวิวทิวทัศน์ที่คุณอาจไม่เคยเห็นในใบปลิวชวนเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบ, ป่าไม้, ภูเขาแอลป์ และแนวชายฝั่งทะเล ในตอนเหนือ รถไฟขบวนนี้จะพาคุณไปชมทะเลสาบต่างๆ ในอิตาลี, ภูเขา Dolomites, Veneto และไปสำรวจ Venice, Langhe และ Mantova โดยผู้โดยสารที่เดินทางในเดือนพฤศจิกายนสามารถไปชิมทรัฟเฟิลขาวที่ Alba ได้อีกด้วย
หลังจากนั้น รถไฟก็จะเดินทางขึ้นไปยัง Rome ผ่านเทือกเขา Tuscan และ Umbria ผ่านไร่องุ่นและขุมทรัพย์แห่งศิลปะของเมือง Florence และ Siena เมื่อลงมาทางตอนใต้ ผู้โดยสารสามารถดื่มด่ำไปกับวิวเมือง Sicily ก่อนที่จะวนกลับมาที่ Syracuse และ Mt. Etna จากนั้นก็ขึ้นไปยังชายฝั่ง Ionian และหาดทราย Salento ก่อนจะไปจอดที่เมืองบาโรกอย่าง Lecce และเมือง Matera ก่อนที่จะไปต่อกันที่ Naples และ Pompeii
ในส่วนของการเดินทางออกนอกอิตาลีนั้น ผู้โดยสารทั้งหลายจะเดินทางจาก Rome ไปกลับ Paris ผ่านบริเวณ French และ Italian Riviera ทริปจาก Rome ไปยัง Istanbul จะพาคุณผ่าน Venice และไปตามเส้นทางเก่าแก่เส้นทางเดิมของ Orient Express คันเก่าเพื่อไปสู่เมืองแห่งนั้นในตุรกี เส้นทางจาก Rome สู่ Split นั้นก็จะผ่าน Venice เช่นกัน อีกทั้งยังผ่านเมือง Trieste และไปยังชายฝั่ง Dalmatian ที่มีหมู่เกาะมากมาย ก่อนที่จะไปยังเมือง Split ในโครเอเชีย
รถไฟขบวนนี้จะเริ่มออกเดินทางในปี 2023 ผู้มาเยี่ยมเยือนที่มาเริ่มต้นหรือปิดท้ายทริปที่ Rome สามารถเลือกได้ว่าจะติดรถไฟนี้ไปที่ต่างๆ ด้วยหรือไม่ก็ได้ในปีหน้า
อีกทั้ง The Orient Express Hotel, Minerva โรงแรมแรกจากกลุ่มธุรกิจใหม่นี้ก็กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาในรูปแบบคล้ายกับพระราชวังในศตวรรษที่ 17 อย่าง Palazzo Fonseca ซึ่งเดิมที่เป็นโรงแรม Grand Hotel de la Minerve ในย่าน Pantheon
ในสมัยก่อนสถานที่แห่งนี้เป็นจุดแวะพักระหว่าง European Grand Tour ที่ดึงดูดผู้คนมากมายรวมถึง Herman Melville นักเขียนชาวอเมริกัน และเป็นที่พักพิงระยะยาวของนักเขียนมากมาย ไม่ว่าจะเป็น George Sand และ Stendhal ซึ่งทางเจ้าของใหม่ของโรงแรมแห่งนี้ก็หวังว่าพวกเขาเองจะสามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อันสำคัญนี้ได้
แปลและเรียบเรียงโดย ทัตชญา บุษยากิตติกร จากบทความ Explore Italy Next With Orient Express’s Upcoming Luxury Train เผยแพร่บน Forbes.com
อ่านเพิ่มเติม: สัมผัสประสบการณ์ House of Gucci นอกจอที่อิตาลี
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine