เป็นไปได้หรือไม่ที่คนๆ หนึ่งจะมี Passive Income ปีละ 2-4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ? คำตอบคือได้ หากคุณเขียนเพลงคริสต์มาสที่โด่งดังและจับใจผู้คนทั่วโลกได้มากพอจะหยิบมาเล่นวนซ้ำทุกปี ดังเช่น Mariah Carey กับเพลง All I Want for Christmas Is You
เกือบ 30 ปีมาแล้วนับตั้งแต่ Mariah Carey แต่งเพลง All I Want for Christmas Is You ร่วมกับโปรดิวเซอร์คู่ใจ Walter Afanasieff โดยไม่รู้เลยว่าผลงานชิ้นนี้จะกลับกลายเป็นตำนานที่สร้างรายได้มหาศาลแก่พวกเขาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งยังเป็นที่มาของฉายา ราชินีแห่งคริสต์มาส ของเธออีกด้วย
โดยนักร้องสาวเสียงดีผู้นี้จะได้รับของขวัญคริสต์มาสเป็นค่าลิขสิทธิ์เพลงนี้อย่างน้อย 600,000 เหรียญเป็นประจำทุกปี แล้วอย่างมากล่ะ? ทาง The Economist ประเมินว่าไว้ที่ปีละราว 2.5 ล้านเหรียญ ส่วน New York Time คาดการณ์ไว้ที่ 3 ล้านเหรียญ ยังมีแหล่งข่าวอื่นให้ตัวเลขสูงถึง 4 ล้านเหรียญเลยทีเดียว

ค่าลิขสิทธิ์ กุญแจสู่ Passive Income
ปกติแล้ว ค่าลิขสิทธิ์ที่นักร้องแต่ละคนจะได้รับจากผลงานของตัวเองสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลักด้วยกัน ได้แก่
1. สิทธิ์ในการทำซ้ำ (Mechanical License) หมายถึง การทำเป็นแผ่นซีดี เทป แผ่นเสียง รวมทั้งการให้ดาวน์โหลดทาง iTunes และดิจิทัลสตรีมมิ่งอื่นๆ สำหรับในสหรัฐฯ ผู้ประพันธ์เพลงจะได้รับเงิน 1.75 เซ็นต์ต่อการเล่นเพลงหนึ่งนาที และจะได้เงิน 2 เหรียญต่อการขายซีดีหนึ่งแผ่น
2. สิทธิ์ในการเผยแพร่ต่อสาธารณชน (Performing Rights) ทุกครั้งที่เพลงๆ หนึ่งถูกเล่นในที่สาธารณะ ไม่ว่าจะวิทยุ ไนท์คลับ ร้านอาหาร อีเวนต์ต่างๆ ตลอดจนการร้องคัฟเวอร์ ศิลปินเจ้าของเพลงจะได้รับเงินค่าลิขสิทธิ์ดังกล่าวโดยมีตั้งแต่ 600 ถึง 800,000 เหรียญ
3. สิทธิ์ในการทำซ้ำประกอบภาพเคลื่อนไหว (Synchronization Rights) จะเรียกเก็บเมื่อมีการนำเพลงไปประกอบละคร ภาพยนตร์ และโฆษณาต่างๆ โดยมูลค่าอยู่ที่ราว 50,000 เหรียญสำหรับละครโทรทัศน์ และ 300,000 เหรียญสำหรับภาพยนตร์ แน่นอนว่ามีกรณีที่ตัวเลขสูงกว่านี้ด้วยเช่นกัน
4. สิทธิ์ในการขายพิมพ์เพลง (Print Right) ตรงตามชื่อ คือค่าลิขสิทธิ์ที่ศิลปินจะได้เมื่อมีการพิมพ์เนื้อและโน้ตเพลงขายนั่นเอง ซึ่งไม่ได้พบเห็นกันบ่อยนัก
ลองพิจารณาดูว่า All I Want for Christmas Is You ถูกเล่นซ้ำบ่อยแค่ไหนในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี มิหนำซ้ำยังไม่ใช่เพียงในอเมริกา แต่เป็นทั่วโลก ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้เลยว่า Mariah Carey ได้รับ Passive Income มากมายเพียงใด
กำเนิดเพลงอมตะในเวลา 15 นาที
อีกหนึ่งข้อเท็จจริงสุดอัศจรรย์สำหรับ All I Want for Christmas Is You คือมันเกิดขึ้นเร็วมาก ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น
ย้อนกลับไปในปี 1993 นักร้องสาวดาวรุ่งวัย 24 ปีกำลังดื่มด่ำกับความสำเร็จหลังปล่อยอัลบั้มที่สาม Music Box ซึ่งขายได้ถึง 38 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก กลายเป็นหนึ่งในอัลบั้มเพลงขายดีสูงสุดตลอดกาล สามีของเธอ ณ ขณะนั้น หรือ Tommy Mottola ผู้บริหาร Sony Music เสนอให้เธอออกอัลบั้มเพลงคริสต์มาส
Mariah ไม่ใคร่ชอบไอเดียนั้นเท่าใดนัก เธอรู้สึกว่าเพลงคริสต์มาสเป็นเพลงที่นักร้องมักทำช่วงบั้นปลายของอาชีพ ยังเร็วเกินไปสำหรับเธอที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น
“แต่ฉันก็แบบ รักคริสต์มาส” เธอเผยเรื่องราวในวัยเด็กของตนว่าไม่ได้มีคริสต์มาสที่แสนสุขนัก และมักวาดหวังถึงช่วงเวลาอันงดงามในเทศกาลนี้อยู่เสมอ กอปรกับการโน้มน้าวของ Mottola ทำให้เธอตัดสินใจลองดูสักตั้ง

Mariah ได้ Walter Afanasieff โปรดิวเซอร์มือดีที่เคยร่วมงานกันมาก่อนร่วมแต่งเพลง เพราะ Mottola ต้องการเพลงคริสต์มาสใหม่ๆ ไม่ใช่การคัฟเวอร์เพลงที่มีอยู่แล้ว จากนั้นทั้งสองก็ได้เพลงแรกคือ Miss You Most (At Christmas Time) ซึ่งเป็นเพลงแนวบัลลาดเศร้าๆ ตามด้วยเพลง Jesus Born on This Day ดูจากชื่อก็รู้ว่าเนื้อหาเกี่ยวข้องกับศาสนา
สำหรับเพลงที่สาม พวกเขาได้แรงบันดาลใจจาก Phil Spector เจ้าของอัลบั้ม A Christmas Gift for You from Phil Spector เพลงคริสต์มาสสไตล์ร็อคแอนด์โรลยุค 60 อันโด่งดัง
ทั้งสองคิดเนื้อเพลง คอร์ด และเมโลดีด้วยกันในเวลา 15 นาที เป็นเพลงง่ายๆ เริ่มจากที่ Mariah ร้องว่า “I don’t want a lot for Christmas” แล้วทุกอย่างก็ดำเนินต่อไป
ทีแรก Afanasieff ให้ความเห็นว่า “เหมือนกำลังไล่บันไดเสียงอย่างไรอย่างนั้น” และไม่ค่อยมั่นใจว่าเพลงดังกล่าวจะประสบความสำเร็จ
ผลงานชิ้นนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเรียบง่าย ราวกับสูตรสำเร็จ แต่เขาก็พยายามปรับแต่งใส่ความแตกต่างลงไปให้มันพิเศษยิ่งขึ้น กลายเป็น All I Want for Christmas Is You ในท้ายที่สุด
ปรากฏว่าเสียงตอบรับกลับดีเหลือเชื่อ ด้วยความเรียบง่ายจึงเข้าถึงผู้คนได้ไม่ยาก จนกลายเป็นเพลงฮิตติดหู ได้รับความนิยมถล่มทลายหลังปล่อยออกไปเพียงไม่นาน และยังคงครองใจผู้ฟังมาตลอด 30 ปี สร้างกระแส Passive Income มหาศาลแก่ผู้ร่วมประพันธ์ทั้งสอง
ฤดูสุขสันต์ที่มาพร้อมปัญหา
สำหรับปีนี้ Mariah Carey ก็ไม่รอช้าที่จะพาทุกคนดื่มด่ำกับช่วงเวลาแสนพิเศษท้ายปี เพราะพอหมดฮาโลวีน เธอก็อัปโหลดคลิปวิดีโอในชุดซานตาคลอสบน X พร้อมข้อความ “ได้เวลาแล้ว! (IT’s TIME!)” เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
โดยก่อนหน้านี้ตอนต้นเดือนตุลาคม เธอได้ประกาศทัวร์คอนเสิร์ต Merry Christmas One and All! ซึ่งมีกำหนดการเริ่มต้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน และจบลงในวันที่ 17 ธันวาคม 2023
ไม่ได้มีแค่ราชินีแห่งคริสต์มาสที่รีบร้อนแต่เพียงผู้เดียว ขณะนี้ตามห้างร้านต่างๆ ก็เริ่มตกแต่งรับเทศกาลกันแล้ว แบรนด์สินค้ามากมายทยอยเปิดตัวสินค้าพิเศษสำหรับช่วงเวลาล้ำค่าประจำปี

กระนั้นใช่ว่าทุกคนจะยินดีกับเทศกาลคริสต์มาส เมื่อนักดนตรีนาม Andy Stone กล่าวหาว่าเพลง All I Want for Christmas Is You ละเมิดลิขสิทธิ์เพลงที่เขาร่วมแต่งให้วง Vince Vance & the Valiants ซึ่งมีชื่อเหมือนกัน โดยเพลงนั้นปล่อยออกมาก่อนในปี 1989 ทว่ามีเนื้อหาและทำนองเพลงแตกต่างกัน เขายังฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินถึง 20 ล้านเหรียญ
อันที่จริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Stone ออกมาฟ้องร้องในประเด็นนี้ เขาเคยทำมาแล้วในปี 2022 ที่ผ่านมา แต่ก็ถอนฟ้องในท้ายที่สุด สำหรับปีนี้คงต้องติดตามกันต่อไปว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร
ทนายของ Mariah Carey และ Afanasieff ยังไม่มีแถลงการณ์ใดๆ ออกมา เช่นเดียวกับทางค่ายเพลงที่นักร้องสาวสังกัดอยู่ คงต้องรอติดตามว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป
แต่ที่แน่ๆ ในตอนนี้ เพลงนี้ก็เริ่มกลับมาถูกสตรีมอีกครั้ง และทำเงินให้ Mariah Carey ได้อีกเหมือนเคย
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 5 หนังสือลงทุนที่ Warren Buffett แนะนำ พร้อมให้ฟังแล้วบน Spotify
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine