ไม่มีใครปฏิเสธอีกแล้วว่าบิตคอยน์และบล็อกเชนเป็นดินแดนหลบภัยสำหรับเหล่าอาชญากรและขบวนการค้ายาเสพติดและได้กลายมาเป็นการลงทุนกระแสหลัก การเติบโตของบิตคอยน์ในปี 2020 เป็นที่สนอกสนใจของผู้บริหารระดับสูงสุด 50 บริษัทของโลก
ไม่ใช่แค่ว่าบริษัทได้หันมาใช้เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังบิตคอยน์ในการทำงานหลายๆ อย่าง เช่น การเกลี่ยใบเสร็จรับเงิน และตามหาแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ แต่บริษัทหลายแห่งได้หันมาถือครองบิตคอยน์เป็นทรัพย์สินซื้อขายได้
ทำเนียบ Blockchain 50 ประจำปี ครั้งที่ 3 ของเรา ซึ่งจัดอันดับบริษัทที่ลงทุนมหาศาลในเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ และทำรายได้หรือมีมูลค่าอย่างน้อย 1 พันล้านเหรียญ 21 บริษัท มีทั้งธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ Industrial and Commercial Bank of China (ICBC) และอีก 4 บริษัทจากเอเชียเป็นผู้ติดอันดับใหม่ครั้งแรก โดยเข้ามาแทนที่บริษัทสัญชาติอเมริกันอย่าง Facebook, Google, Amazon และ Ripple ซึ่งต่างก็ยังไม่ได้ห่างหายไปจากวงการบล็อกเชน แต่เลือกที่จะทำกิจกรรมแบบเงียบๆ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
และเราได้คัดสรร 10 บริษัทที่น่าสนใจจาก “50 บริษัท BLOCKCHAIN ระดับโลก” มาให้ท่านผู้อ่านได้ติดตามกัน ดังต่อไปนี้
อันดับ 1 : Industrial and Commercial Bank of China (ICBC)
ที่ตั้ง: BEIJING,
จีน
แพลตฟอร์มบล็อกเชน: ICBC Chain, Ethereum, Hyperledger Fabric, Tendermint
ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้มีแอปพลิเคชันบล็อกเชน 30 แอป โดยแอปเหล่านี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถติดตามทุกอย่าง ตั้งแต่ความคุ้มครองด้านการดูแลสุขภาพไปจนถึงการบริจาคเพื่อการกุศลของพวกเขา
อันดับ 2 : KAKAO
ที่ตั้ง: JEJU-SI,
เกาหลีใต้
แพลตฟอร์มบล็อกเชน: Klaytn
KakaoTalk แอปส่งข้อความที่ครอบครองตลาดเกาหลีใต้ มีผู้ใช้มากถึง 52 ล้านราย เป็นเจ้าของ Ground X ธุรกิจบล็อกเชนที่ได้พัฒนาเทคโนโลยีตัวเอง โดยมีเงินคริปโตที่ชื่อว่า klay เป็นของตัวเอง ปัจจุบันมีผู้ใช้ KakaoTalk ที่ได้รับการยืนยันตัวตนแล้วเปิดใช้กระเป๋าเงินดิจิทัล 370,000 ราย ในจำนวนนี้มี 10% ที่ใช้กระเป๋าเงินทุกวัน
อันดับ 3 : LVMH
ที่ตั้ง: PARIS,
ฝรั่งเศส
แพลตฟอร์มบล็อกเชน: AURA, Quorum, Ethereum
กลุ่มบริษัทสินค้าแบรนด์หรูได้ใช้บล็อกเชนในการติดตามผลิตภัณฑ์ และแก้ปัญหาการปลอมแปลงสินค้าของแบรนด์อย่าง Louis Vuitton และ Bulgari มีผลิตภัณฑ์เกือบ 10 ล้านชิ้นแล้วที่ได้จดทะเบียนบนแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้น โดยจับมือกับ Prada และ Cartier ของ Richemont
อันดับ 4 : TENCENT
ที่ตั้ง: SHENZHEN,
จีน
แพลตฟอร์มบล็อกเชน: FISCO BCOS
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนเป็นผู้สร้างเทคโนโลยีบล็อกเชนที่หน่วยงานด้านภาษีของเมือง Shenzhen ใช้ในการออกใบกำกับภาษีราว 10 ล้านฉบับ Tencent ยังได้ก่อตั้ง WeBank ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มบล็อกเชน FISCO BCOS (Be Credible, Open & Secure) ที่มีบริษัทห้างร้านใช้บริการมากกว่า 2,000 แห่ง รวมไปถึง WeIdentity บริษัทที่ช่วยจัดการการเดินทางข้ามพรมแดนระหว่าง Macao และจีนแผ่นดินใหญ่กว่า 17 ล้านครั้ง ส่วน WeSign แอปบล็อกเชนอีกหนึ่งแอปของ Tencent ช่วยลดเวลากระบวนการพิจารณาขออนุญาตตุลาการและถูกใช้ในห้องพิจารณาคดีของจีนในการบันทึกหลักฐาน
อันดับ 5 : BINANCE
ที่ตั้ง: CAYMAN,
ISLANDS
แพลตฟอร์มบล็อกเชน: Bitcoin, Binance Chain และอีกหลายสิบแพลตฟอร์ม
ตลาดแลกเปลี่ยนเงินคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้มีสินทรัพย์ที่ผ่านการแปลงเป็นโทเคน 184 รายการ และยังสนับสนุนเทคโนโลยีบล็อกเชนเกือบร้อยเทคโนโลยี โดยปีที่แล้วมียอดซื้อขายแตะระดับ 2 ล้านล้านเหรียญในเดือนกรกฎาคม Binance ออกบัตรเครดิตวีซ่าที่เปลี่ยนสินทรัพย์เงินคริปโตของผู้ใช้ให้กลายเป็นสกุลเงินท้องถิ่น และจะมีร้านค้ารับบัตรมากถึง 70 ล้านแห่งทั่วโลก
อันดับ 6 : ING GROUP
ที่ตั้ง: AMSTERDAM,
เนเธอร์แลนด์
แพลตฟอร์มบล็อกเชน: Corda, Quorum, Ethereum, Hyperledger Fabric, Hyperledger Indy
หนึ่งในธนาคารแห่งแรกๆ ที่เปิดรับเทคโนโลยีบล็อกเชน ตอนนี้ ING Group เป็นกลุ่มสถาบันการเงินชั้นนำที่ช่วยพิสูจน์สินทรัพย์ประเภทเงินคริปโตเพื่อให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ด้านการต่อต้านการฟอกเงินของโลก
อันดับ 7 : ANT GROUP
ที่ตั้ง: HANGZHOU,
จีน
แพลตฟอร์มบล็อกเชน: AntChain, Hyperledger Fabric, Quorum
Ant ธุรกิจที่แตกออกมาจาก Alibaba มีแอปพลิเคชันบล็อกเชนมากกว่า 50 แอปที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาบนแพลตฟอร์มบล็อกเชนของตัวเองที่ชื่อว่า AntChain หนึ่งในตัวอย่างที่ต้องกล่าวถึงคือ OpenChain ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี 2020 เพื่อช่วยให้บริษัทขนาดกลางและเล็กมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีบล็อกเชนและสัญญาอัจฉริยะ เพื่อเป็นแนวทางในการลดต้นทุน ถึงตอนนี้ผู้ใช้กว่า 6,000 ราย ได้ทำสัญญาอัจฉริยะแล้วถึง 100,000 ฉบับ อำนวยความสะดวกแก่ธุรกรรม 400 ล้านรายการ
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/Jack-Ma-ผู้ร่วมก่อตั้ง-ANT-Group.png)
บล็อกเชน “จะเปลี่ยนแปลงพื้นฐานระบบการเงินใน 10 หรือ 15 ปีจากนี้ เทคโนโลยีบล็อกเชนจะถูกนำไปใช้ในหลายๆ ด้าน เพราะมันเป็นเรื่องของความเชื่อใจ เครดิตและความปลอดภัย ซึ่งหมายถึงความปลอดภัยของข้อมูล และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล”
— Jack Ma ผู้ร่วมก่อตั้ง ANT Group และผู้ก่อตั้ง Alibaba —
อันดับ 8 : SQUARE
ที่ตั้ง: SAN FRANCISCO
รัฐ CALIFORNIA
แพลตฟอร์มบล็อกเชน: Bitcoin
2 ปีที่แล้ว Square ได้เริ่มให้ผู้ใช้แอป Cash App ซึ่งเป็นบริการทางตรงเพื่อชำระเงินจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง และบริการทางการเงินสามารถซื้อบิตคอยน์ได้จำนวนผู้ใช้งานที่มีความเคลื่อนไหวบนแอปดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 30 ล้านคน ทั้งนี้ ไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายนปีที่แล้ว Square ทำรายได้ 1.6 พันล้านเหรียญ และกำไรรวม 32 ล้านเหรียญจากบิตคอยน์ ในเดือนตุลาคม Square ประกาศว่า บริษัทได้ลงทุนในบิตคอยน์เป็นเงิน 50 ล้านเหรียญ ซึ่งคิดเป็นเพียงร้อยละ 1 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท (อ่านเพิ่มเติมในเรื่อง)
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/Jack-Dorsey-ซีอีโอ-และผู้ร่วมก่อตั้ง-Square.png)
“เหตุผลที่ผมมีความหลงใหลในบิตคอยน์อย่างมากนั้นมีสาเหตุหลักๆ มาจากรูปแบบที่มันแสดงให้เห็น นั่นคือการเป็นเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตพื้นฐานที่ไม่ได้ถูกควบคุมหรือชักจูงโดยบุคคลหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง”
— Jack Dorsey ซีอีโอ และผู้ร่วมก่อตั้ง Square —
อันดับ 9 : NORNICKEL
ที่ตั้ง: MOSCOW,
รัสเซีย
แพลตฟอร์มบล็อกเชน: Hyperledger Fabric
ผู้ผลิตนิกเกิลและแพลเลเดียมรายใหญ่ที่สุดของโลกกำลังอยู่ระหว่างการทดลองใช้แพลตฟอร์มแปลงสินทรัพย์อุตสาหกรรมเป็นโทเคนผ่าน Atomyze บริษัทสตาร์ทอัพ จาก Connecticut ซึ่งตนเองเป็นเจ้าของด้วยส่วนหนึ่ง
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/Jeanine-Hightower-Sellitto-ซีอีโอ-Atomyze-พันธมิตรของ-Nornickel.png)
“กระบวนการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นดิจิทัลเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการระบุสิทธิ์ให้กับสินค้าที่จับต้องได้ การทำให้กระบวนการมีประสิทธิภาพมากขึ้นจะนำไปสู่สภาพคล่องที่มากขึ้นการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนทำให้มีนักลงทุนหลากหลายประเภทมากขึ้นเข้าถึงสินทรัพย์เหล่านั้น”
—Jeanine Hightower-Sellitto ซีอีโอ Atomyze พันธมิตรของ Nornickel —
อันดับ 10 : COINBASE
ที่ตั้ง: SAN FRANCISCO
รัฐ CALIFORNIA
แพลตฟอร์มบล็อกเชน: Bitcoin, Ethereum และอีกหลายสิบแพลตฟอร์ม
ตลาดแลกเปลี่ยนเงินคริปโตที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ มีบัญชีซื้อขายส่วนบุคคลมากกว่า 43 ล้านบัญชี ในกว่า 100 ประเทศ อีกทั้งยังถือครองเงินคริปโตมูลค่าถึง 2 หมื่นล้านเหรียญ เพิ่มจาก 6 พันล้านเหรียญในปี 2020 Coinbase เป็นผู้ออกบัตรเดบิตรายแรกที่อนุญาตให้ลูกค้าใช้เงินคริปโตที่ร้านค้าใดก็ได้ที่รับบัตรวีซ่า และยังสามารถถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็มได้ทุกแห่ง ปีที่แล้วบัตร Coinbase Card เริ่มให้บริการแก่ลูกค้าจาก 29 ประเทศในยุโรป และกำลังอยู่ระหว่างการเปิดให้บริการแก่ผู้พักอาศัยในสหรัฐฯ
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/Brian-Armstrong-ซีอีโอ-และผู้ร่วมก่อตั้ง-Coinbase.png)
“เรากำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เศรษฐกิจสกุลคริปโต มันเป็นเศรษฐกิจแบบใหม่ที่เริ่มต้นจากออนไลน์เป็นหลัก แต่มันสามารถเข้าถึงได้ในหมู่ผู้คนในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ มันครอบคลุมในระดับโลกเท่าเทียมกว่า เสรีกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า”
— Brian Armstrong ซีอีโอ และผู้ร่วมก่อตั้ง Coinbase —
เรื่อง: MICHAEL DEL CASTILLO, JANET NOVACK และ MATT SCHIFRIN
เรียบเรียง: เอมวลี อัศวเปรม ภาพ: JAMEL TOPPIN
รายงานโดย Nina Bambysheva, Lauren Debter, Michael del Castillo, Steven Ehrlich, Eliza Haverstock, Chris Helman, Katie Jennings, Jeff Kauflin, Jon Ponciano และ Hank Tucker
อ่านเพิ่มเติม:
คลิกอ่านฉบับเต็ม "50 บริษัท BLOCKCHAIN ระดับโลก" และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2564 ในรูปแบบ e-magazine
![](https://i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/187523743_2849070525308019_3482005041219392688_n.jpg)