บิตคอยน์เป็นขวัญใจคนใหม่ของบรรดานักลงทุนมูลค่าของบิตคอยน์ทะยานขึ้นจาก 5,000 เหรียญสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม 2020 เป็นกว่า 40,000 เหรียญ ก่อนที่มูลค่าจะตกลง แฟนพันธุ์แท้พากันทำนายว่า มูลค่าจะพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องและแตะที่ 100,000 เหรียญ หรือมากกว่านั้น
- อย่างไรก็ตาม บิตคอยน์ก็ยังไม่สามารถเป็นตัวแทนของเงินดอลลาร์ได้ในขณะนี้
- ความผิดพลาดใหญ่หลวงของบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ยักษ์
ทุกวันนี้ หลังเหตุการณ์อันน่าตื่นตระหนกที่กลุ่มผู้ชุมนุมบุก Capitol Hill ยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีเหล่านี้ได้กำจัดสิทธิ์การเรียกร้องความเป็นกลางทั้งหมดทั้งมวล สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือ พวกเขาปิด Parler ซึ่งเป็นคู่แข่งรายใหม่ของ Twitter ผู้ทรงอิทธิพลซึ่งบริหาร Twitter, Facebook, Amazon และบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ต่างก็อ้างความชอบธรรมว่า
พวกเขาต่อต้านการปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่น่าหัวเราะอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาดูถึงการโพสต์แสดงความคิดเห็นรุนแรงน่าสะอิดสะเอียนจากนักโฆษณาชวนเชื่อชาวจีนและอิหร่าน ยังไม่ต้องพูดถึงการโพสต์ข้อมูลเกินจริงจากผู้คนและองค์กรจำนวนมากที่มีอยู่เกลื่อนโดยที่ไม่มีใครจัดการหรือแก้ไข ตัวอย่างเช่น อดีตซีอีโอ Twitter เรียกร้องให้สังหารบรรดานายทุนที่ตัวเขาเกลียดชัง
ยักษ์ใหญ่กลุ่มนี้อาจจะคิดว่า พวกเขาซื้อประกันความคุ้มครองจากพรรคเดโมแครต ซึ่งครองอำนาจในทำเนียบขาวและสภาคองเกรสทั้งสองสภา แต่ความจริงแล้วพวกเขากำลังสร้างความเกลียดชังอย่างร้ายแรง ซึ่งจะหวนกลับมาทำร้ายตัวเองในท้ายที่สุด ความอวดดีและทัศนคติแบบ “ประชาชนนั้นโง่ ไม่จำเป็นต้องรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบริหารงานขององค์กร” จะนำมาซึ่งการแก้แค้นเสมอ ไม่ว่าบริษัทหรือองค์กรนั้นๆ จะมองเห็นว่าตนเองมีอำนาจมากเพียงใดก็ตาม
ความพยายามในการบ่อนทำลายเว็บไซต์อย่าง Parler ของยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีกำลังจุดชนวนให้เกิดการฟ้องร้องกล่าวหาพวกเขาในข้อหากีดกันทางการค้าตามมาอีกหลายต่อหลายคดี ยิ่งไปกว่านั้นว่าที่เจ้าทุกข์กำลังเสาะหาลู่ทางต่อสู้ด้วยกฎหมายแบบอื่นๆ อย่างเช่นแนวคิดที่ว่า เว็บไซต์บางเว็บไซต์มีคุณสมบัติเป็นผู้ให้บริการพื้นฐานกับประชาชนทั่วไป ดังนั้น จึงไม่สามารถปิดกั้นการโพสต์แสดงความคิดเห็นซึ่งไม่ละเมิดกฎหมาย เหมือนกับบริษัทขนส่งทางรถไฟ หรือบริษัทโทรศัพท์ซึ่งไม่สามารถห้ามประชาชนไม่ให้ใช้บริการได้
การกระทำของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่กำลังสร้างมูลเหตุอันนำไปสู่กระบวนการป้องกันการผูกขาดทางการค้าซึ่งสหรัฐฯ และหลายๆ ประเทศถือปฏิบัติกันอยู่แล้ว นอกจากนี้ พวกเขายังกระตุ้นความโกรธเกรี้ยวของอเมริกันชนหลายล้านคนซึ่งรู้สึกว่าธุรกิจรายใหญ่ๆ และนักการเมืองผู้หยิ่งยโสบ้าอำนาจ และไม่รู้ร้อนรู้หนาวเหล่านี้พยายามที่จะลดความสำคัญของประชาชนและกดขี่พวกเขา
ความโกรธเคืองและความรู้สึกแปลกแยกไม่เป็นผลดีกับสภาพการเมืองและวัฒนธรรมอย่างแน่นอน
บริษัทเทคยักษ์ใหญ่น่าจะทราบมานานหลายปีแล้วว่า ความเป็นอยู่ของพวกตนขึ้นอยู่กับความนิยมของสาธารณชน หรือการยอมรับของประชาชนเป็นอย่างน้อย
หลายสิบปีก่อน AT&T เคยเป็นบริษัทโทรศัพท์ที่ดำเนินธุรกิจแบบผูกขาดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย บริษัทที่มีสมญานามว่า Ma Bell นี้พยายามทำทุกวิถีทางให้ทุกคนพอใจ บริการของบริษัทไม่มีที่ติ บุคลากรของบริษัทก็เป็นต้นแบบของความสุภาพและความเต็มใจที่จะให้บริการ AT&T ลงโฆษณาในบริษัทสื่อทุกแห่ง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ช่วยปกป้องบริษัทจากการเป็นเป้าโจมตีทางการเมืองท้ายที่สุดการผูกขาดของ AT&T ต้องยุติลงเป็นผลมาจากเทคโนโลยี ไม่ใช่การเมือง
น่าเสียดายอย่างยิ่งที่บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ไม่ทำตามแผนการนี้
อ่านเพิ่มเติม:
- โครงสร้างเศรษฐกิจไทย โจทย์ท้าทายสู่โลกใหม่หลังโควิด-19
- ความก้าวหน้าเทคโนโลยีทางการแพทย์เจริญพันธุ์
- AZIMUT YACHTS ประเทศไทย ถอดรหัส ‘AZIMUT 53’ อสังหาฯ แห่งท้องทะเล
คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2564 ในรูปแบบ e-magazine



